กองทุนวายุภักษ์ 1 กล้าเสี่ยง! ปรับกลยุทธ์ให้น้ำหนักหุ้น P/E สูงมากขึ้น หวังฟันกำไรเพิ่มและรองรับภาวะการลงทุนในตลาดที่เปลี่ยนไป ระบุผ่านไป 1 เดือนเห็นผล หลังเอ็นเอวีเริ่มปรับตัวดีขึ้น "พิชิต" เผยใส่เงินซื้อหุ้นเพิ่ม มั่นใจได้ผลดีจากดัชนีหุ้นทะยาน ขณะที่กองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของเอ็มเอฟซีลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มเช่นกัน ด้านบลจ.ไทยพาณิชย์ เก็บหุ้นเข้าพอร์ตอีก 20 ล้าน หลังลูกค้าส่วนใหญ่จับจังหวะซื้อแอลทีเอฟเพิ่ม
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการการลงทุนของกองทุนได้ปรับนโยบายการลงทุนหุ้นใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นที่มี P/E สูงๆ มากขึ้นจากเดิม ที่กองทุนจะเน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว ซึ่งการปรับนโยบายการลงทุนดังกล่าว เป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นที่มี P/E สูงดังกล่าว จะต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีตามหลักการเดิมด้วย
"เดิมทีหุ้นที่มี P/E สูงโดยธรรมชาติเราจะไม่เข้าไปดู แต่ภาวะการลงทุนในตลาดเปลี่ยนไปทำให้คณะกรรมการการลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเป็นหลัก โดยหลังจากการปรับกลยุทธ์การลงทุนแล้ว ส่งผลให้ภาพรวมของกองทุนออกมาดีขึ้น โดยเฉพาะมูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างดี"นายพิชิตกล่าว
สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วนั้น ในส่วนของกองทุนวายุภักษ์ได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มเช่นกัน โดยเป็นเงินลงทุนจากสภาพคล่องของกองทุนที่ยังมีอยู่บ้าง ซึ่งการลงทุนเพิ่มดังกล่าวเป็นการลงทุนปกติไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด โดยในปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 80% และอีก 20% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้และเงินสดบางส่วน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมา กองทุนวายุภักษ์เองก็ได้ประโยชน์พอสมควร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีสัดส่วนการลงทุนที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ทำให้ทั้งปีนี้ กองทุนวายุภักษ์น่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับการลงทุนของบลจ.เอ็มเอฟซีเอง ก็มีการเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเงินลงทุนจากกองทุนหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) กองทุนผสม รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่ลงทุนในหุ้นประมาณ 10-20% ส่วนดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น กองทุนของบลจ.เอ็มเอฟซีก็ได้ประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสูง ซึ่งจากการประเมินหากกองใดที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเยอะๆ น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดเป็นเท่าตัว
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้น่าจะขยับขึ้นไปได้ถึงระดับ 930-950 จุด โดยในระยะสั้นนี้ ยังเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งและเงินลงทุนไหลเข้าจากสหรัฐ ส่วนจะขยับขึ้นไปถึง 1,000 จุดหรือไม่นั้น มองว่าต้องรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธินั้น ในส่วนของบลจ.ไทยพาณิชย์ได้เข้าไปซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ตด้วยเช่นกัน โดยคิดเป็นจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม พอร์ตกองทุนหุ้นภายใต้การจัดการของบริษัท มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเต็มอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นการเข้าไปลงทุนในช่วงที่ระดับดัชนี 800 จุดต้นๆ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้น หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐไปในระดับหนึ่ง ส่วนเงินลงทุนจำนวน 20 ล้านบาทที่บริษัทเข้าไปลงทุนเพิ่มในรอบนี้ เป็นเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามาจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) เป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีปรับขึ้นค่อนข้างสูงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ขายทำกำไรจากตราสารหนี้แล้วโยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแทน เนื่องจากยังมองว่าค่าเงินบาทยังแข็งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และส่วนหนึ่งก็เป็นการเข้ามาลงทุนเพิ่มของนักลงทุนสถาบันในประเทศด้วย
นายวิชชุกล่าวว่า สำหรับทิศทางของดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ เรายังเชื่อว่าจะปรับขึ้นไปได้ถึง 920- 950 จุด แม้ว่าสัปดาห์หน้าดัชนีอาจจะขยับไปถึงระดับที่เรามองแล้วก็ตาม ซึ่งหลังจากนี้ไป เราเชื่อว่าจะไม่มีปัจจัยอะไรที่น่ากังวล ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะปรับตัวขึ้นมาในระดับที่เต็มมูลค่าแล้ว แต่ก็ถือว่ายังไม่แพงมากนัก ขณะเดียวกันเชื่อว่าเงินลงทุนจากต่างชาติจะยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมองว่าค่าเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนลงได้อีก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคได้อีก เพราะนักลงทุนส่วนหนึ่งยังมีมุมมองว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยยังเป็นตลาดที่น่าติดตาม ดังนั้นน่าจะมีส่วนช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นต่อไปได้อีก
ส่วนกองทุนรวมเอง ก็เชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนแอลทีเอฟและกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) ซึ่งในช่วง 3-4 ปี ทั้ง 2 กองทุนเองก็มีเงินลงทุนไหลเข้ามาต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เชื่อว่าจะมีเงินไหลเข้ามาในระดับเดียวกัน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการการลงทุนของกองทุนได้ปรับนโยบายการลงทุนหุ้นใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นที่มี P/E สูงๆ มากขึ้นจากเดิม ที่กองทุนจะเน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว ซึ่งการปรับนโยบายการลงทุนดังกล่าว เป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นที่มี P/E สูงดังกล่าว จะต้องเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีตามหลักการเดิมด้วย
"เดิมทีหุ้นที่มี P/E สูงโดยธรรมชาติเราจะไม่เข้าไปดู แต่ภาวะการลงทุนในตลาดเปลี่ยนไปทำให้คณะกรรมการการลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเป็นหลัก โดยหลังจากการปรับกลยุทธ์การลงทุนแล้ว ส่งผลให้ภาพรวมของกองทุนออกมาดีขึ้น โดยเฉพาะมูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างดี"นายพิชิตกล่าว
สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วนั้น ในส่วนของกองทุนวายุภักษ์ได้มีการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มเช่นกัน โดยเป็นเงินลงทุนจากสภาพคล่องของกองทุนที่ยังมีอยู่บ้าง ซึ่งการลงทุนเพิ่มดังกล่าวเป็นการลงทุนปกติไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด โดยในปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 80% และอีก 20% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้และเงินสดบางส่วน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมา กองทุนวายุภักษ์เองก็ได้ประโยชน์พอสมควร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีสัดส่วนการลงทุนที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ทำให้ทั้งปีนี้ กองทุนวายุภักษ์น่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับการลงทุนของบลจ.เอ็มเอฟซีเอง ก็มีการเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเงินลงทุนจากกองทุนหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) กองทุนผสม รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่ลงทุนในหุ้นประมาณ 10-20% ส่วนดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น กองทุนของบลจ.เอ็มเอฟซีก็ได้ประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสูง ซึ่งจากการประเมินหากกองใดที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเยอะๆ น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีตลาดเป็นเท่าตัว
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้น่าจะขยับขึ้นไปได้ถึงระดับ 930-950 จุด โดยในระยะสั้นนี้ ยังเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งและเงินลงทุนไหลเข้าจากสหรัฐ ส่วนจะขยับขึ้นไปถึง 1,000 จุดหรือไม่นั้น มองว่าต้องรอความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธินั้น ในส่วนของบลจ.ไทยพาณิชย์ได้เข้าไปซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ตด้วยเช่นกัน โดยคิดเป็นจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 20 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม พอร์ตกองทุนหุ้นภายใต้การจัดการของบริษัท มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเต็มอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นการเข้าไปลงทุนในช่วงที่ระดับดัชนี 800 จุดต้นๆ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้น หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐไปในระดับหนึ่ง ส่วนเงินลงทุนจำนวน 20 ล้านบาทที่บริษัทเข้าไปลงทุนเพิ่มในรอบนี้ เป็นเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามาจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) เป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีปรับขึ้นค่อนข้างสูงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ขายทำกำไรจากตราสารหนี้แล้วโยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแทน เนื่องจากยังมองว่าค่าเงินบาทยังแข็งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และส่วนหนึ่งก็เป็นการเข้ามาลงทุนเพิ่มของนักลงทุนสถาบันในประเทศด้วย
นายวิชชุกล่าวว่า สำหรับทิศทางของดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ เรายังเชื่อว่าจะปรับขึ้นไปได้ถึง 920- 950 จุด แม้ว่าสัปดาห์หน้าดัชนีอาจจะขยับไปถึงระดับที่เรามองแล้วก็ตาม ซึ่งหลังจากนี้ไป เราเชื่อว่าจะไม่มีปัจจัยอะไรที่น่ากังวล ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะปรับตัวขึ้นมาในระดับที่เต็มมูลค่าแล้ว แต่ก็ถือว่ายังไม่แพงมากนัก ขณะเดียวกันเชื่อว่าเงินลงทุนจากต่างชาติจะยังคงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมองว่าค่าเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนลงได้อีก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคได้อีก เพราะนักลงทุนส่วนหนึ่งยังมีมุมมองว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยยังเป็นตลาดที่น่าติดตาม ดังนั้นน่าจะมีส่วนช่วยให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นต่อไปได้อีก
ส่วนกองทุนรวมเอง ก็เชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนแอลทีเอฟและกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ) ซึ่งในช่วง 3-4 ปี ทั้ง 2 กองทุนเองก็มีเงินลงทุนไหลเข้ามาต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เชื่อว่าจะมีเงินไหลเข้ามาในระดับเดียวกัน