xs
xsm
sm
md
lg

H-Share หรือ A-Share? 10 คำถามก่อนตัดสินใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตัดสินใจได้แล้วว่าจะลงทุนในหุ้นจีนกับเขาบ้าง ก็ยังต้องมาชั่งใจตอนเลือกตลาดอีก ว่าจะลงทุนใน H-Shares (หุ้นจีนที่ list ในตลาดฮ่องกง) หรือ A-Shares (หุ้นจีนที่ list ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น) ผู้เขียนมีโอกาสได้อ่านบทวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณสมบัติของทั้งสองตลาด จึงขอนำมาตีความและสรุปย่อตามความเข้าใจของผู้เขียน เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุนของท่านผู้อ่านต่อไป (อ้างอิงจาก Section 1: H is for Quality ของรายงานพิเศษโดย William Lui เรื่อง A or H? Taste-testing two China markets, July 2007, CLSA Asia-Pacific Markets) ต่อไปในบทความนี้จะขอเรียก H-Share ว่า”ตลาดฮ่องกง” และ A-Share ว่า ”ตลาดจีน” และส่วนที่เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมของผู้เขียนจะระบุไว้ในวงเล็บ [ ]

1.ถาม: ตลาดใดมีสัดส่วนเงินฝากต่อมูลค่าตลาดสูงที่สุด? ตอบ: [สัดส่วนเงินฝากต่อมูลค่าตลาดเป็นตัวสะท้อนราคายุติธรรม(fair price)] ปัจจุบันประเทศจีนมีสัดส่วนเงินฝากต่อมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก แต่เนื่องจากตลาดจีนยังมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนน้อย ทำให้มีการซื้อขายในราคาค่อนข้างแพง ในอนาคตคาดว่าจะมีการกระจายหุ้นมากขึ้นจากการที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยเฉพาะรัฐบาลจีน กระจายหุ้นเข้ามาในตลาด ราคาซื้อขายจึงมีแนวโน้มจะถูกลง ในทางกลับกันตลาดฮ่องกงจะได้รับผลดีจากการที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้นักลงทุนชาวจีนประเภท Qualified Domestic Institution Investors (QDII) สามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้ เม็ดเงินอาจไหลเข้ามาในตลาดฮ่องกงมากขึ้น ทำให้ราคาซื้อขายหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงมีแนวโน้มแพงขึ้น

2.ถาม: ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีเหล่านี้หรือไม่? ตอบ: ดัชนีตลาดฮ่องกงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ในขณะที่การขึ้นลงของดัชนีตลาดจีนมีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ น้อย แต่ได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากปัจจัยอื่น เช่น ข่าวลือเกี่ยวกับ การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ และ การควบรวมกิจการ ของบริษัท เป็นต้น

3.ถาม: ส่วนต่าง P/E ของทั้งสองตลาดจะอยู่ในระดับนี้ไปเรื่อยๆ หรือไม่ ? ตอบ: ปัจจุบันตลาดจีนมี P/E ประมาณ 50 เท่า ในขณะที่ตลาดฮ่องกงมี P/E ประมาณ 20 เท่า แต่ส่วนต่าง P/E ของทั้งสองตลาดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง P/E ของตลาดจีนเคยสูงถึง 60 เท่าในปี 2000 ก่อนปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ 20 เท่าในปี 2005 แล้วไต่ระดับกลับไปที่ 55 เท่าในต้นปี 2007 จากการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย และมีแนวโน้มลดลงอีก จากการขายทำกำไรและย้ายเงินลงทุน ของนักลงทุนสถาบัน และกองทุนประกันสังคมของจีน ไปที่ตลาดฮ่องกงซึ่งมี P/E ต่ำกว่ามาก

4.ถาม: มีหุ้นรัฐวิสาหกิจอยู่ในตลาดไหนมากกว่า? ตอบ: หุ้นรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง จดทะเบียนอยู่ในตลาดฮ่องกง ทั้งนี้กิจการด้านการพลังงานและการเงินส่วนใหญ่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ทำกำไรสูง และมีมาตรฐานการกำกับดูแลที่สูงกว่าบริษัทเอกชน

5.ถาม: ตลาดไหนมีบริษัทที่เป็นผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมจดทะเบียนอยู่มากกว่ากัน? ตอบ: ตลาดฮ่องกงมีบริษัทที่เป็นผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่หลายกลุ่ม รัฐวิสาหกิจมักเลือกจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงมากกว่าตลาดจีน เช่นเดียวกับบริษัทเอกชนชั้นนำในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม สามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดพลังงานในเมืองจีนถึง 89% ก็จดทะเบียนอยู่ในตลาดฮ่องกง

6.ถาม: คุณภาพรายได้ของตลาดไหนดีกว่ากัน ? ตอบ: จากข้อมูลในปี 2006 ตลาดฮ่องกงมีอัตราการเติบโตของรายได้รวม และ อัตราการเติบโตของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูงกว่าตลาดจีน แม้จะมีอัตราการเติบโตของรายได้จากการลงทุน และ อัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรต่ำกว่า ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้นมาก บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดจีนได้นำเงินสดที่ใช้ในการดำเนินงานไปลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้มีกำไรจากการลงทุนในหุ้นสูง ในขณะที่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีข้อบังคับในการนำเงินลงทุนของบริษัทไปลงทุนอย่างรัดกุมกว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดจีน

7.ถาม: ตลาดไหนมีคุณภาพของโครงสร้างผู้ลงทุนดีกว่า? ตอบ: ตลาดฮ่องกงมีการกระจายตัวของกลุ่มผู้ลงทุนที่หลากหลายกว่า โดยมีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ 39% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 26% และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ 27% สำหรับตลาดจีนมีการประเมินว่ามีสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยอยู่สูงถึง 70%

8.ถาม: ตลาดไหนมีอัตราส่วนมูลค่าการซื้อขายต่อมูลค่าตลาด (Turn Over Rate) สูงกว่ากัน? ตอบ: [Turn Over Rate เป็นตัวสะท้อนความถี่ในการซื้อขายหุ้นในตลาด] ตลาดจีนมี Turn Over Rate 3.5 เท่า ในทางกลับกัน ตลาดฮ่องกงมี Turn Over Rate ที่ค่อนข้างคงที่เพียง 1 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการที่ตลาดฮ่องกงมีสัดส่วนของผู้ลงทุนที่เป็นนักลงทุนสถาบันมากกว่า และนักลงทุนเหล่านี้จะสนใจการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรในระยะสั้น

9.ถาม: ตลาดไหนมีผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk adjusted return) สูงกว่า? ตอบ: เมื่อเปรียบเทียบค่า Sharpe Ratio หรือ ผลตอบแทนเปรียบเทียบต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยงแล้ว ตลาดฮ่องกงจะมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าตลาดจีน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว [หมายถึงที่ระดับความเสี่ยงเดียวกัน ตลาดฮ่องกงจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือที่ผลตอบแทนเท่ากันตลาดจีนมีความเสี่ยงสูงกว่านั่นเอง]

10.ถาม: การไหลเข้าออกของเงินทุนในตลาดทั้งสองเป็นอย่างไร? ตอบ: ตลาดฮ่องกงมีแนวโน้มเงินไหลเข้ามากกว่าไหลออก แต่ตลาดจีนมีแนวโน้มเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้า และในรอบ 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะมีเงินไหลออกสุทธิจากตลาดจีน ประมาณ 642,000 ล้านหยวน ในขณะที่ตลาดฮ่องกงจะมีเงินไหลเข้าสุทธิราว 307,000 ล้านหยวน ซึ่งน่าจะส่งผลให้มีปริมาณการซื้อขายในตลาดฮ่องกงมากขึ้น

 กล่าวโดยสรุป แม้ว่าตลาดจีนและฮ่องกงจะมีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงวันนี้ตลาดฮ่องกงยังมีความน่าสนใจกว่า ทั้งในด้านคุณภาพของรายได้ การผสมผสานที่ลงตัวของนักลงทุนประเภทต่างๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม มี P/E ของตลาดต่ำกว่า อัตราผลตอบแทนต่อค่าความเสี่ยงที่สูงกว่า แม้ผลตอบแทนในบางช่วงอาจไม่สูงเท่าในตลาดจีน แต่ก็มีความผันผวนน้อยกว่า ทั้งยังมีอนาคตที่สดใสเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุน ประกอบกับการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่า ทำให้นักลงทุนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่างเรารู้สึกสบายใจได้มากกว่า ส่วนตลาดจีนนั้น ไม่ใช่ไม่ดีไปตลอดแต่ตอนนี้อาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนต่างถิ่นอย่างพวกเรา
กำลังโหลดความคิดเห็น