“ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันการลงทุนต่าง ๆ ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งการเก็บออมเงินถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะปัจจุบันการกู้หนี้ยืมสิ้นมีมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนรู้จักถึงการประหยัดใช้จ่ายแต่พอประมาณตามความเหมาะสมที่คิดว่าจำเป็นจริงๆ”
ชื่อ – นามสกุล อัมราภัสร์ จุลกะเศียน (มิ้ม)
วันเดือนปีเกิด 23 พฤษภาคม 2528
จบการศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช
ผลงานปัจจุบัน มิสมอเตอร์โชว์ 2007 , รองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007
มิสโมบายไทยแลนด์ 2007 และมิสเฮลตี้ สลิมมิ้ง
สัปดาห์นี้ผู้จัดการคุยกับนักลงทุนจะพามาร่วมพูดคุยกับรองมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2007 น้องมิ้ม - อัมราภัสร์ จุลกะเศียน ซึ่งถือได้ว่าเธอเป็นเจ้าแม่นักล่ารางวัลจากการประกวดต่าง ๆ คนหนึ่ง และในวันนี้เธอจะมาร่วมพูดคุยถึงเรื่องราวส่วนตัวตั้งแต่ในวัยเด็กมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องราวของการจัดสรรเงินรวมถึงการวางแผนอนาคตว่าเป็นอย่างไร
มิ้มบอกว่า ในปีนี้เธอได้เข้าร่วมประกวดด้วยกัน 4 เวที ประกอบไปด้วย การประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ซึงเธอสามารถคว้ารางวัลรองอันดับหนึ่งมาครอง ทำให้ได้เงินรางวัลจากการประกวดในครั้งนี้ด้วยกันทั้งสิ้น 300,000 บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวมิ้มได้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ในส่วนแรกให้กับคุณแม่ไว้ใช้จ่ายตามที่ท่านต้องการ ส่วนที่ 2 นำมาซื้อรถยนต์ เนื่องจากปัจจุบันงานเริ่มมีงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นรถยนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง เพราะการเดินทางไปทำงานอะไรก็ตามความตรงต่อเวลามีความสำคัญมากที่สุด และในส่วนสุดท้ายได้ฝากไว้กับธนาคาร
โดยก่อนหน้าที่จะได้รับตำแหน่งรองมิสไทยแลนด์เวิลด์นั้น มิ้มบอกว่า ได้เข้าประกวดมิสมอเตอร์โชว์ปี 2007 ซึ่งกับเวทีการประกวดครั้งนี้มิ้มสามารถคว้ารางวัลอันดับ 1 มาครอง โดยใช้ชื่อในการประกวดมิสมอเตอร์โชว์ว่า ชลีกร นอกจากนี้แล้วยังเข้าประกวดมิสโมบายไทยแลนด์ 2007 และมิสเฮลตี้ สลิมมิ้ง ซึ่งก็คว้ารางวัลที่ 1 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ปัจจุบันมิ้มจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตโชติเวช เอกคหกรรม สาเหตุที่เรียนสาขานี้มิ้มบอกว่า เป็นคนชอบทำอาหารตั้งแต่เด็ก ๆ จึงเลือกเรียนที่นี่ ส่วนอนาคตมิ้มบอกว่าหลังจากที่หมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว มีความใฝ่ฝันไว้ว่าอย่างที่จะประกอบอาชีพ “ผู้ประกาศข่าว” หรือ “แอร์โฮสเตส” ซึ่งเป็นความฝันตั้งแต่สมัยยังเด็ก แต่ตอนนี้มิ้มบอกขอทำหน้าที่ต่างๆ ที่ได้รับหมายให้ดีที่สุดเสียก่อน
สำหรับเรื่องของการออมเงินนั้นมิ้มบอกว่า ได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่มาตั้งแต่สมัยเด็ก ว่าการจะซื้ออะไรสักอย่างต้องมีการคิดหน้าคิดหลังอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากต้องดูถึงความเหมาะสมในการใช้ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องดูถึงความเหมาะสมในสิ่งที่จะจ่ายด้วย โดยส่วนตัวมองว่า การออมจะให้ประโยชน์และมีคุณค่าในวันข้างหน้า เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเจ็บป่วย เงินก้อนที่เราสะสมออมไว้จะได้นำมาใช้ได้ทันที อีกทั้งยังไม่เป็นภาระกับใครให้ต้องเดือดร้อนไปกับเราด้วย รวมทั้งยังเป็นการสร้างวินัยในเรื่องของการออม ส่วนอนาคตนั้นมิ้มได้วางแผนในเรื่องของการออมไว้ว่าถ้ามีรายได้เข้ามาอย่างแน่นอน คงต้องแบ่งเก็บไว้ประมาณ 30% อีก 70% นำมาใช้มาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วย
มิ้มบอกเสริมด้วยว่ากับตำแหน่งทีได้รับต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ได้รับถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่จะสามารถนำพาชีวิตเราก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกสำหรับวงการนี้ เพราะสำหรับอาชีพดังกล่าวยังมีหลายๆ อย่างให้เราได้เรียนรู้อีกมาก ดังนั้นเมื่อได้เข้ามาแล้วเราต้องรักษามันไว้ให้ดี
ส่วนแนวคิดในการทำงานให้ประสบความสำเร็จต่อๆ ไปนั้น มิ้มยึดหลักคือ ต้องเป็นคนที่ต้องมีความกตัญญูมาเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้แล้วในการทำงานสนุกกับทุกงานที่เราเลือกรับหรือได้รับมอบหมาย รวมถึงต้องรักและเคารพกับงานที่ทำด้วย และสิ่งสำคัญคือต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมงานเพราะการทำงานส่วนใหญ่ต้องทำร่วมกับผู้อื่น ในเรื่องของเวลาก็เป็นสิ่งจำเป็นอีกเช่นกันการตรงต่อเวลาจะบ่งบอกได้ว่าบุคคลผู้นั้นมีความรับผิดชอบต่องานนั้นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
ด้านวิธีการคลายเครียดจากการทำงานนั้น มิ้มบอกว่า เมื่อเครียดความเครียดจากการเรียนหรือการทำงานมิ้มมักจะผ่อนคลายด้วยการทำอาหารอยู่กับบ้าน เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าเป็นต้น นอกจากนี้แล้วเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ จนไม่สามารถแก้ไขเองได้มิ้มมักจะไปขอคำปรึกษาจากคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งท่านก็จะมีคำแนะนำที่ดี ๆ ทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ลงไปได้
สุดท้ายมิ้มฝากบอกว่า กับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันการลงทุนต่าง ๆ ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งการเก็บออมเงินถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะปัจจุบันการกู้หนี้ยืมสิ้นมีมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนรู้จักถึงการประหยัดใช้จ่ายแต่พอประมาณตามความเหมาะสมที่คิดว่าจำเป็นจริงๆ