xs
xsm
sm
md
lg

โรคกุ้ง...ภัยเงียบที่รัฐต้องเร่งแก้ อย่าหลงประเด็น "ปลาหมอคางดำ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานการณ์อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งไทยกำลังเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันในตลาดโลก แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนกำลังการผลิต ข้อมูลจากสมาคมกุ้งไทยตอกย้ำชัดเจนว่าต้นเหตุที่ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงลิ่วและผลผลิตที่ลดฮวบคือ "โรคระบาดในกุ้ง" ไม่ใช่กระแสความกังวลเรื่อง "เอเลี่ยนสปีชีส์" อย่างที่สังคมบางส่วนกำลังเข้าใจผิด

นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย ได้ให้ภาพสถานการณ์ไว้อย่างน่าเป็นห่วงว่า ปัญหาโรคกุ้งที่แก้ไม่ตกได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายป่านชีวิตเกษตรกร โดยโรคระบาดทำให้ต้นทุนการเลี้ยงกุ้ง เพิ่มขึ้นสูงถึง 20% และเมื่อกุ้งไม่สมบูรณ์หรือตายจากโรค ผลผลิตก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถผลิตได้ปริมาณเท่าเดิม ขณะที่ต้องเผชิญกับต้นทุนต่อหน่วยที่สูงขึ้นมหาศาล นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนักว่า หากไม่สามารถควบคุมและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความอยู่รอดของเกษตรกรไทยที่ถือเป็นรากฐานของห่วงโซ่อุปทานอาหารก็กำลังจะถูกกัดกร่อนไปเรื่อย ๆ

ย้ำชัด! "เอเลี่ยนสปีชีส์" ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับอุตสาหกรรมกุ้งหลัก

ในช่วงที่ผ่านมาสังคมให้ความสนใจกับเรื่อง "ปลาหมอคางดำ" ในฐานะเอเลี่ยนสปีชีส์ที่กำลังแพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติ จนเกิดความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อฟาร์มกุ้ง แต่สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งยุคใหม่แล้ว สิ่งนี้เป็นเพียง "ประเด็นที่สร้างความหลงทาง"

น.ส.พัชรินทร์ ยืนยันหนักแน่นว่า "ปัญหาปลาหมอคางดำไม่มีผลกระทบต่อการเลี้ยงกุ้งในระบบปิด ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกุ้งหลักของประเทศ" นี่คือข้อเท็จจริงสำคัญที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ตัวโต ๆ เพราะอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยได้พัฒนาไปมาก เกษตรกรส่วนใหญ่โดยเฉพาะรายใหญ่และรายกลางได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ "ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนา (Intensive Farming)" หรือ "กึ่งพัฒนา (Semi-Intensive Farming)" ซึ่งมีลักษณะเป็น "ระบบปิด" หรือมีการควบคุมน้ำเข้า-ออกที่เข้มงวด

การเลี้ยงกุ้งในระบบปิดนี้พิสูจน์แล้วว่า เป็นทั้งเกราะป้องกันและโอกาสสำคัญในการยกระดับอาชีพเกษตร เนื่องจากสามารถป้องกันสัตว์ต่างถิ่นแปลกปลอม (Biosecurity) เพราะระบบปิดมีการติดตั้งตาข่ายหรือระบบการกรองน้ำที่เข้มงวด ทำให้สัตว์น้ำแปลกปลอม เช่น ปลาหมอคางดำ หรือสัตว์อื่น ๆ ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในบ่อเลี้ยงได้ ต่างจากการเลี้ยงแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาน้ำในแหล่งธรรมชาติโดยตรง นอกจากนี้ระบบปิดยังช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงได้ เช่นความเค็มหรืออุณหภูมิน้ำ เมื่อสามารถลดความเสี่ยงจากศัตรูภายนอกและควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี อัตราการรอด (Survival Rate) ของกุ้งก็จะสูงขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตต่อพื้นที่ที่แน่นอนและสูงกว่าการเลี้ยงแบบเปิดอย่างมาก

สำหรับเกษตรกรที่ยังคงใช้ระบบการเลี้ยงแบบดั้งเดิมและต้องพึ่งพาน้ำจากธรรมชาติโดยตรง นี่คือโอกาสสำคัญที่จะต้องพิจารณา "การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบกึ่งพัฒนา" โดยเริ่มจากการลงทุนในสิ่งที่สามารถทำได้ทันที เช่น การจัดทำบ่อพักน้ำ (Reservoir) หรือ การติดตั้งระบบกรองน้ำเบื้องต้น ก่อนปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่สูงนัก แต่สามารถเพิ่มความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการป้องกันสัตว์แปลกปลอม ซึ่งจะนำไปสู่การลดความเสี่ยงและสร้างผลผลิตที่สม่ำเสมอ เป็นหนทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม

การหลงไปกับประเด็นเรื่องเอเลี่ยนสปีชีส์ในบริบทของอุตสาหกรรมกุ้ง อาจทำให้ภาครัฐและสังคมละเลยภัยร้ายตัวจริง นั่นคือ ปัญหาโรคกุ้ง ที่ต้องการการสนับสนุนงานวิจัยและมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรได้ส่งเสียงเรียกร้องแล้วว่า ที่ผ่านมาการแก้ไขยังไม่เป็นรูปธรรมเพียงพอ ดังนั้น หัวใจสำคัญและเร่งด่วนที่สุดที่ภาครัฐควรทุ่มเททรัพยากรเข้าจัดการคือ 1.) สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีน/สารชีวภาพ เพื่อต่อต้านโรคกุ้งชนิดต่าง ๆ 2.) สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังโรคกุ้ง ที่ครอบคลุมและรวดเร็ว 3.) สนับสนุนสินเชื่อและองค์ความรู้ เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการเลี้ยงแบบพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยลดต้นทุนและป้องกันภัยคุกคามจากสัตว์แปลกปลอมได้อย่างยั่งยืน

การอยู่รอดของอุตสาหกรรมกุ้งไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตื่นตระหนกกับเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ไม่กระทบต่อระบบปิด แต่ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาที่ต้นตอ นั่นคือโรคระบาด และการผลักดันให้เกษตรกรทุกคนก้าวเข้าสู่ "การเลี้ยงแบบพัฒนา" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรอย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น