กลายเป็นวาระที่สังคมให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด เช่น "ปลาหมอคางดำ" (Blackchin Tilapia) ที่แพร่กระจายในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยของไทยอยู่ในขณะนี้ซึ่งจนถึงวันนี้นับว่ามีความก้าวหน้าที่ไม่ใช่แค่การจัดการ แต่คือการสร้าง "ภูมิคุ้มกันทางสังคม" ต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
ปลาหมอคางดำคือปลาต่างถิ่นที่มีความสามารถในการปรับตัวสูง สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม อดทนต่อความเค็มและปริมาณออกซิเจนต่ำ ลักษณะเด่นทางกายวิภาคของมันที่ทำให้แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วคือการเลี้ยงลูกด้วยปาก (Mouthbrooding) ทำให้ลูกปลาปลอดภัยจากนักล่าในช่วงแรก การระบาดของมันจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ำท้องถิ่นเป็นเหตุให้เกิดมาตรการในการบริหารจัดการปลาชนิดนี้ตามมามากมาย
นางสาวทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมง กรมประมง ยืนยันว่าประชาชนมีการรับรู้เรื่องปลาหมอคางดำในทุกระดับและทุกพื้นที่ นับเป็นความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่แค่การรับรู้ข่าวสาร แต่หมายถึงการที่สังคมตระหนักถึงภัยคุกคามและพร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการแก้ไขปัญหาเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้การจัดการจากภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่าตัว
ยิ่งไปกว่านั้น การจัดการปัญหาเอเลี่ยนสปีชีส์ไม่ได้มีแค่ปลาหมอคางดำเท่านั้น กรมประมงตระหนักดีถึงปัญหา"ปลาลักลอบนำเข้า"ที่มีปริมาณมากเหลือเกิน กลายเป็นประตูบานสำคัญของการรุกรานในอนาคต มาตรการตอบโต้คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยอ้างอิงมาตรา 65 แห่ง พ.ร.ก.ประมง 2558ที่ให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศกำหนดห้ามการนำเข้า, ส่งออก, นำผ่าน, เพาะเลี้ยง หรือมีไว้ในครอบครองสัตว์น้ำบางชนิด บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน มาตรา 144 นั้นหนักหน่วงถึงจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาทและผู้กระทำผิดยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกำจัดสัตว์น้ำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบนิเวศด้วย โดยการควบคุมจะทำผ่าน 27 ศูนย์/ด่านตรวจสัตว์น้ำทั่วประเทศ และที่สำคัญคือการจัดตั้งคณะกรรมการระดับสถาบันด้านความปลอดภัยและความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อพิจารณาการอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นอย่างรัดกุมที่สุด
จากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง กรมประมงเปิดเผยถึง"สัญญาณเชิงบวก"ที่น่าจับตา เมื่อเทียบระหว่างปี 2567 กับปี 2568 พบว่าพื้นที่ที่มีการรุกรานมากมีแนวโน้มลดลงในหลายพื้นที่นี่คือผลลัพธ์โดยตรงจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน หน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชน
สิ่งที่ช่วยเร่งการควบคุมประชากรให้ลดลงอย่างรวดเร็วคือ"การปรับตัวของประชาชน"โดยมีการแจ้งแหล่งที่พบ การร่วมลงจับ และที่สำคัญคือการนำไปใช้ประโยชน์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทำให้ประชาชนพร้อมรับมือและจัดการสถานการณ์ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดความตระหนักในการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นมากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมอย่างแอปพลิเคชันแจ้งเตือนการพบชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
สำหรับในพื้นที่ที่พบการกระจุกตัวสูง เช่น จันทบุรี ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ โมเดลความร่วมมือที่โดดเด่นและสามารถต่อยอดได้คือกรณีของชุมชนไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ที่ได้ร่วมมือกับกรมประมงและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในโครงการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีลำดับความสำคัญสูง ชุมชนมีการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ โดยจับปลาหมอคางดำขึ้นมาเป็นอาหารและแปรรูปสร้างรายได้ ซึ่งกลายเป็น"แรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์"ให้ชาวประมงในพื้นที่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาด้วยตนเอง
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายความร่วมมืออื่นๆ เช่น ชมรมอนุรักษ์กุ้งก้ามกรามในลุ่มน้ำสวี และเครือข่ายชาวประมงสมุทรสาคร ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำว่า การใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมประชากรเอเลี่ยนสปีชีส์ได้จริง
การจัดการปลาหมอคางดำถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศด้านการจัดการเอเลี่ยนสปีชีส์โดยรวม การระบาดครั้งนี้ทำให้ทุกภาคส่วนตื่นตัว นำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย ข้อกำหนด และหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อป้องกันการเข้ามาของสัตว์น้ำต่างถิ่นอันตรายในระยะยาว
นางสาวทิวารัตน์ กล่าวอีกว่าการจัดการในระยะยาวจะเน้นที่"การป้องกัน"และ"การติดตามตรวจสอบที่รวดเร็ว"ในระยะแรกก่อนการแพร่ระบาด และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดแล้ว วิธีการจัดการที่ดีที่สุดคือการลดจำนวนลงในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการสร้างแรงจูงใจในการใช้ประโยชน์เช่น การนำไปแปรรูปเป็นอาหารหรืออาหารสัตว์น้ำ ดังตัวอย่างในฟิลิปปินส์ หรือการใช้ประโยชน์จากปูม้าระบาดในอิตาลี ได้ผลเชิงประจักษ์
สุดท้ายนี้ การจัดการปัญหาสัตว์ต่างถิ่นด้วยการกำจัด ต้องเดินควบคู่ไปกับ"การฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ"ของไทยที่เสื่อมโทรมลงซึ่งเป็นปัจจัยที่เปิดโอกาสให้เอเลี่ยนสปีชีส์สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมาแทนที่สัตว์น้ำพื้นเมืองได้ การบูรณาการจัดการแหล่งอาศัยให้มีสภาพที่ดีนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้./


