กาญจนบุรี - สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ลงพื้นที่บ้านท่าขนุน เดินหน้าประชาสัมพันธ์เชิงรุกตามนโยยบาย รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ สร้างความเข้าใจเรื่องไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 พร้อมประกาศมาตรการเข้มปิดป่า–คุมเผาวัชพืช เตือนโทษหนักหลายกระทง
วันนี้ (25 พ.ย.) นายราชันย์ บัวตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) พร้อมด้วยนายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ลงพื้นที่พบปะประชาชนในหมู่ 1 บ้านท่าขนุน ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อรณรงค์เชิงรุกตามมาตรการ “เคาะประตูบ้าน” ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพหากเกิดไฟป่าในพื้นที่
เจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนไม่เผาป่า ลดการเผาวัสดุทางการเกษตร และปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ เพื่อช่วยลดมลพิษทางอากาศ พร้อมเชิญชวนให้ร่วมเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสผู้ลักลอบเผาป่าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน
นายราชันย์ บัวตรี ผอ.สบอ.3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ปี 2569 โดยให้เข้มงวดทั้งการจัดการเชื้อเพลิง การทำแนวกันไฟ การติดตามสถานการณ์ด้วยดาวเทียม ตลอดจนการบูรณาการทำงานกับชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่รวม 772,214 ไร่ ครอบคลุม 7 ตำบลใน 2 อำเภอ ได้จัดตั้ง ศูนย์สั่งการและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน (War Room) เพื่อวางแผนและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา พบจุดความร้อน (Hotspot) 76 จุด ลดลงจากปีก่อนถึง 85.30% มีพื้นที่เผาไหม้รวม 4,734 ไร่
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิออกประกาศ ห้ามเข้าพื้นที่อุทยานฯ ช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่า โดยอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 หากผู้ใดฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ ยังเข้มงวดการเผาวัชพืชในพื้นที่เกษตรใกล้เขตอุทยานฯ หากเกิดไฟลุกลามเข้าพื้นที่ จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 19(1) ห้ามเผาป่าหรือทำให้พื้นที่เสื่อมสภาพ โดยมีโทษหนัก จำคุก 4–20 ปี หรือปรับ 400,000–2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1–2 หรือระบบนิเวศเปราะบาง จะเพิ่มโทษครึ่งหนึ่ง บังคับใช้ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2568 ถึง 31 พฤษภาคม 2569


