ศูนย์ข่าวขอนแก่น-กลุ่มปฏิรูปที่ดินอำเภอแวงใหญ่ ร้อง นายกฯอนุทิน สั่งการให้คลี่คลายข้อพิพาทเอกสารสิทธิที่ดิน หลังเดินเรื่องขอจัดสรรที่ดินมาตั้งแต่ปี 2566 นานเกือบ 3 ปี แต่ ส.ป.ก. แจ้งสถานะพื้นที่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ในนาทีสุดท้าย สร้างความเดือดร้อนและสับสนให้เกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก
วันนี้(22พ.ย.) เวลา 09.39 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพร้อมคณะฯเดินทางไปยังวัดหนองแวง พระอารามหลวง อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธียกยอดฉัตรทองคำประดิษฐานเหนือพระมหาธาตุแก่นนครอนุสรณ์สาธุชน โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม/เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีเจิมยอดฉัตรและยกยอดฉัตรทองคำ ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนและหน่วยงานภาครัฐ–เอกชนเข้าร่วมจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนเริ่มพิธีสำคัญดังกล่าว นายสมพร ช่วยนา ประธานกลุ่มปฏิรูปที่ดินอำเภอแวงใหญ่ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ตนและตัวแทนกลุ่มได้ถือโอกาสที่นายอนุทินลงพื้นที่มายังจังหวัดขอนแก่นเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน ผ่านคณะทำงานของนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งตรวจสอบปัญหาการดำเนินการเอกสารสิทธิที่ดินของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น หลังพบความคลาดเคลื่อนด้านข้อมูลจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
นายสมพรเปิดเผยว่า กลุ่มปฏิรูปที่ดินฯ ได้ดำเนินเรื่องขอจัดสรรที่ดินมาตั้งแต่ปี 2566 ใช้เวลาเกือบ 2–3 ปี แต่กลับได้รับแจ้งจาก ส.ป.ก. ก่อนวันออกรังวัดเพียง 1–2 วันว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็น “ที่ น.ส.ล.” หรือที่ดินสาธารณประโยชน์ ทำให้ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตเคยลงตรวจสอบและอนุญาตให้ดำเนินการตามขั้นตอน ส.ป.ก. แล้ว จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมข้อเท็จจริงข้อนี้ไม่ถูกแจ้งตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องตำแหน่งพิกัดที่ดิน โดยกลุ่มฯ ยืนยันว่าพื้นที่ที่เสนอให้รังวัดอยู่ในตำบลโนนทอง แต่เจ้าหน้าที่กลับลงพื้นที่ไปยังตำบลไหมนาเพียง ทำให้ข้อมูลไม่ตรงตามข้อเท็จจริงและอาจนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนในทางเอกสาร
นายสมพรกล่าวว่า ชาวบ้านหลายครัวเรือนรู้สึกไม่สบายใจและสับสน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิในการครอบครองที่ดินทำกิน พร้อมฝากถึงนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกร และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้ซ้ำขึ้นอีกในอนาคต.


