ชัยนาท – สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดชัยนาทยังน่าเป็นห่วง หลังมีทั้งน้ำป่าจากอุทัยธานีไหลหลากและปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ล่าสุดกรมชลประทานออกประกาศเตือนฉบับที่ 9 แจ้ง 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยาเตรียมรับมือการเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเป็น 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
วันนี้ (4 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น้ำป่าที่ไหลหลากจาก ห้วยขุนแก้ว จ.อุทัยธานี ได้ไหลลงสู่ คลองกระทง จ.ชัยนาท ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางจุดล้นตลิ่ง โดยเฉพาะบริเวณ สะพานคลองกระทง หมู่ 3 ต.หนองบัว อ.วัดสิงห์ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างชัยนาทและอุทัยธานี น้ำได้เอ่อท่วมบริเวณคอสะพาน
เจ้าหน้าที่จากแขวงทางหลวงชัยนาท ร่วมกับ อบต.หนองบัว นำดินมาปิดกั้นบริเวณคอสะพานเพื่อป้องกันน้ำเข้าท่วมถนนทางหลวงหมายเลข 3183 (สายชัยนาท–อุทัยธานี) พร้อมติดตั้งป้ายแจ้งเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังและลดความเร็วในการขับขี่ผ่านจุดดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำในคลองกระทงจะไหลต่อไปยังคลองมะขามเฒ่าและลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเพิ่มขึ้น โดยเวลา 17.00 น. พบว่ามีปริมาณน้ำไหลผ่านเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,894 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนที่ อ.เมืองชัยนาท สูงขึ้นจากเดิม 17 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 17.09 เมตร (รทก.) ส่วนการระบายน้ำท้ายเขื่อนอยู่ที่ 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อนที่ อ.สรรพยา เพิ่มขึ้น 23 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 15.70 เมตร (รทก.)
ล่าสุด กรมชลประทานออก ประกาศแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ส่งถึงผู้ว่าราชการ 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร
โดยคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรังจะไหลมารวมเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นเป็น 3,050–3,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้ต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเป็น 2,500–2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อน ตั้งแต่จังหวัดชัยนาทถึงพระนครศรีอยุธยา สูงขึ้นจากเดิมอีก 60–90 เซนติเมตร
กรมชลประทานจึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย โดยเฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจรุนแรงขึ้นในระยะต่อไป


