เชียงใหม่-คืบหน้าเหตุทะเลาะวิวาทกลางย่านดังเชียงใหม่ ผู้ก่อเหตุอ้างตัวลูกนักการเมืองชักมีดแทง นศ.มหาวิทยาลัยชื่อดัง อาการสาหัส 2 คนและบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 4 คน ล่าสุดตำรวจเรียกฝ่ายผู้เสียหายเข้าให้ปากคำแล้ว โดยฝ่ายคนเจ็บยืนยันไม่ได้หาเรื่องก่อน แค่ไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จเตรียมกลับภูมิลำเนาช่วงปิดเทอมเดินทางกลับภูมิลำเนาและย้ำชัดไม่ได้พกมีด ส่วนเรื่องผู้ก่อเหตุอ้างเป็นลูกนักการเมือง ยอมรับไม่ได้ยินกับหู แต่มีการพูดกันปากต่อปาก ด้านคู่กรณีถูกตำรวจตามรวบมาทำประวัติแล้วกปล่อยตัว จากนี้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีเพิ่มเติม ขณะที่ญาติคนเจ็บยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด สำหรับผู้บาดเจ็บสาหัส 2 คน อาการยังหนักต้องให้แพทย์ดูแลใกล้ชิด
ความคืบหน้าเหตุการณ์ที่กลุ่มนักศึกษา ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ในซอย 7 นิมมานเหมินทร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จนถูกอาวุธมีดแทงได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 6 คน และในจำนวนนั้นถูกแทงบาดเจ็บสาหัสอีก 2 คน เหตุเกิดในคืนวันที่ 2 พฤศจิกายนต่อเนื่องเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายนนั้น ล่าสุดมีรายงานว่า ทางฝั่งของผู้ก่อเหตุที่ใช้อาวุธมีดทำร้ายนักศึกษานั้น ทางตำรวจได้ติดตามตัวมาทำประวัติและได้ปล่อยตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ
ขณะเดียวกันในวันนี้ได้เรียกทางฝั่งของกลุ่มนักศึกษา เพื่อมาให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพิ่มเติม โดยทางฝั่งของแม่หนึ่งในนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บเปิดเผยว่า ตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าลูกชายถูกแทงที่คอ จึงได้รีบไปหาที่โรงพยาบาล ตอนนี้ถอดท่อช่วยหายใจแล้ว เริ่มทานอาหารเหลวได้แล้ว แต่ยังอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤติที่ต้องให้ทีมแพทย์ดูแลใกล้ชิด ตอนนี้อยากจะรอดูท่าทีของคู่กรณีว่ามีการสำนึกกับสิ่งที่กระทำลงไปหรือไม่ หากไม่มีการสำนึกก็จะดำเนินคดีถึงที่สุด ตอนนี้รอตำรวจเรียกมาพบกับคู่กรณี ส่วนเรื่องในที่เกิดเหตุยืนยันว่า มีดไม่ใช่ของลูกชายของตนเองแน่นอน ยืนยันว่าพฤติกรรมของลูกชายไม่ได้เป็นอันธพาล การมาเที่ยวกลางคืนของลูก ตนเองจะเป็นคนมารับมาส่งทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ขออนุญาตออกมาเที่ยวฉลองกับเพื่อนในวันสุดท้ายของการสอบเสร็จก่อนที่จะปิดเทอมแยกย้ายกลับภูมิลำเนา ตนเองก็เป็นคนจัดกระเป๋าของลูกและมาส่งที่ร้านดังกล่าว ส่วนเรื่องของมีดที่ถูกใช้ในที่เกิดเหตุ จากที่ได้ยินมาว่าคู่กรณีอ้างว่าฝั่งของนักศึกษาชักมีดออกมาแล้วถูกแย่งไปก่อนนำกลับมาแทงนักศึกษานั้น สอบถามเพื่อนๆ และลูกแล้วยืนยันว่าเป็นของฝั่งคู่กรณี
ทั้งนี้หนึ่งในนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์เผยว่า ตนเองและเพื่อนรวม 11 คน ในจำนวนนี้มีเพื่อนรุ่นพี่คณะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ที่มาเที่ยวอยู่ด้านในร้าน กินดื่มกันถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน อยู่ ๆ คู่กรณีซึ่งมากับเพื่อนชายประมาณ 3-4 คน ในจำนวนนี้มีผู้หญิง 1 คน ยืนยันว่าตนเองกับเพื่อนไม่ได้ไปยุ่งหรือมีเรื่องกระทบกระทั่งกับโต๊ะคู่กรณีก่อนเลย อยู่ๆ ตนเองก็ถูกชกเข้าที่ใบหน้าจนมึน เมื่อตั้งสติได้ เพื่อนในกลุ่มจึงพยายามเข้าไปพูดคุยและขอโทษ รวมทั้งสอบถามว่าตนเองและเพื่อนได้ไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า ก็ไม่ได้รับคำตอบ หลังจากนั้นก็ขอโทษและกลับมาที่โต๊ะ ทิ้งช่วงระยะหนึ่ง ตนเองจึงได้เข้าไปสอบถามคู่กรณี เสร็จแล้วก็ขอโทษอีกครั้งแล้วกลับมาที่โต๊ะ ก่อนที่รุ่นพี่จะเห็นว่าหมดสนุกก็เลยพากันเช็กบิลแล้วจะเดินออกจากร้าน
ขณะนั้นเอง พอช่วงเดินผ่านโต๊ะของคู่กรณีก็ตะโกนมาว่า “พวกมึงมองหน้าเหรอ พวกมึงไม่จบเหรอ” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครมองหน้า ขณะที่เดินออกมาหน้าร้าน คู่กรณี 2 คน ก็กระโดดปีนรั้วออกมาจากร้าน ก่อนที่จะเริ่มชุลมุนกันอย่างคลิปภาพที่เผยแพร่ออกมา ส่วนคนที่โดนแทงคือเพื่อนของตนเอง ส่วนตนเองกลายเป็นคนที่เข้าไปช่วยห้าม พอรู้ว่าเพื่อนโดนแทงก็ตกใจ และมีการชุลมุนกันอีก 2 รอบ จนได้รับบาดเจ็บกันหลายคน ยืนยันว่ากลุ่มของตนเองเป็นนักศึกษา ไม่มีใครพกมีดแน่นอน ส่วนเรื่องที่พูดถึงผู้ก่อเหตุว่าเป็นลูกนักการเมืองหรือลูก ส.ส.นั้น เป็นการพูดปากต่อปากกันมาในจุดเกิดเหตุ ไม่ได้ยินเองกับหู จึงไม่ขอยืนยันเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะต้องไปตรวจร่างกายกับแพทย์อีกครั้งเพื่อเอาผลมาแจ้งข้อหากับคู่กรณีด้วย ซึ่งขอให้ตำรวจดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
ด้านนักศึกษาหญิงหนึ่งเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเรื่องทะเลาะกันเรื่องชู้สาวหรือเรื่องผู้หญิง เพราะทั้งกลุ่มเป็นเพื่อนกันหมด และไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับใคร โดยเฉพาะโต๊ะคู่กรณี ตนเองเป็นผู้ที่ช่วยไปพูดและขอโทษแทนน้องที่ถูกชก เพื่อประนีประนอมไม่ให้เกิดเรื่องเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่พอเห็นบรรยากาศไม่ดีเลยบอกให้เช็กบิลและพากันกลับเพื่อหลีกเลี่ยง จนกระทั่งออกมาจากร้านก็ยังถูกตะโกนด่า ตนเองยังเข้าไปขอโทษเพื่อไม่ให้บานปลาย แต่ก็เกิดเหตุขึ้นด้านนอกร้าน
รายงานข่าวแจ้งว่าในเบื้องต้นทางตำรวจได้สอบปากคำทั้งหมดไว้แล้ว พร้อมเร่งรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้งเพื่อพิจารณาก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป


