กาญจนบุรี – อดีตกำนันช่องสะเดา วอนรัฐเร่งแก้ปัญหาช้างป่าสลักพระบุกชุมชน ชี้สถานการณ์วิกฤต เสี่ยงชาวบ้านเดือดร้อนหนัก โดยมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายวสันต์ สุนจิรัตน์ อดีตกำนันตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ ช้างป่าออกนอกพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ว่าขณะนี้มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมวอนหน่วยงานภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่ชาวบ้านและเกษตรกรจะได้รับความเดือดร้อนหนักยิ่งกว่านี้
นายวสันต์ เปิดเผยว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ มีพื้นที่กว่า 858.55 ตารางกิโลเมตร หรือราว 536,594 ไร่ ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอบ่อพลอย อำเภอศรีสวัสดิ์ และอำเภอหนองปรือ ปัจจุบันพบว่ามี ช้างป่าอาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 400 ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลการติดตามการเคลื่อนไหวของช้างป่าพบว่า ฝูงช้างจำนวนมากออกมาหากินพืชผลทางการเกษตรของประชาชนในรัศมีไกลถึง 30 กิโลเมตรจากแนวเขตป่า โดยส่วนใหญ่เมื่อออกมาแล้วมักไม่กลับเข้าป่าใหญ่ แต่จะอาศัยตามหย่อมป่าขนาดเล็กใกล้กับชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลและทรัพย์สินของชาวบ้านเป็นวงกว้าง
แม้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่จะร่วมกันผลักดันช้างป่าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ปัญหาจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็น “เมืองล้อมป่า” ซึ่งช้างสามารถออกนอกพื้นที่ได้หลายเส้นทาง
“หลายปีที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน บ้านเรือน พืชผลทางการเกษตรเสียหายหนัก หลายครอบครัวต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนเวลา เพราะกลัวช้างเข้ามาทำลาย หากไม่เร่งหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง เชื่อว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้แน่นอน” นายวสันต์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ นายประจวบ วันยิ่งยุทธ กำนันตำบลช่องสะเดา พร้อมคณะผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ได้ประชุมร่วมกับ นายสุทธิชัย โผภูเขียว หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เพื่อหารือแนวทางการเยียวยาความเสียหายจากช้างป่า โดยมี ดร.พิเชฐ นุ่นโต ผู้เชี่ยวชาญด้านช้างป่าเอเชีย และคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ (Zoom) เพื่อให้ข้อเสนอเชิงวิชาการในการบริหารจัดการช้างป่าอย่างยั่งยืน
สำหรับปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่สลักพระ ถือเป็นหนึ่งในภารกิจใหญ่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ต้องจัดการอย่างบูรณาการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อคนและช้าง ลดความขัดแย้ง และหยุดวงจรความสูญเสียในระยะยาว
                    

