ซีพีติดตามความคืบหน้าเพาะปลูกข้าวโพดยั่งยืนเมียนมา ชูมาตรฐาน FSA-Traceability สร้างโมเดลเกษตรโปร่งใสสู่ตลาดโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส (CPP) และ กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) ได้เดินหน้าขับเคลื่อน “การเพาะปลูกอย่างยั่งยืน” ในประเทศเมียนมา โดยนายวรสิทธิ์ สิทธิวิชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตประเทศเมียนมา พร้อมด้วยนายวรพจน์ สุรัตวิศิษฏ์ รองกรรมการผู้จัดการ กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และนายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการเกษตรตามมาตรฐาน Farm Sustainability Assessment (FSA) และระบบ Traceability (ตรวจสอบย้อนกลับ) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ เมืองตองยี รัฐฉาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายผลการจัดหาวัตถุดิบที่ “ปลอดการเผา-ปลอดการบุกรุกป่า-ตรวจสอบย้อนกลับได้” จากประเทศไทยสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
ตามนโยบายของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ให้ความสำคัญต่อการจัดหาวัตถุดิบการเกษตรผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมี บริษัท คอนโทรล ยูเนี่ยน (Control Union) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก ทำหน้าที่ตรวจประเมินและทวนสอบห่วงโซ่อุปทานทุก 3 เดือน ครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ การจำหน่าย การเพาะปลูก การรวบรวมผลผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการส่งต่อสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ถือเป็น “หนึ่งในก้าวสำคัญ” ในการยกระดับเกษตรกรรมเมียนมาให้ก้าวสู่มาตรฐานเกษตรยั่งยืนระดับสากล พร้อมส่งเสริมเกษตรกรให้เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนที่ถือได้ว่าเป็นนโยบายหลักควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการทำเกษตรยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลและความยั่งยืนในระบบต่างๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ที่เป้าหมายไม่ใช่แค่ในมิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับเรื่องเกษตรยั่งยืน นับได้ว่ามีผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง เพราะการทำเกษตรที่ยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอนาคตที่การทำเกษตรยั่งยืน จะเป็นประเด็นสำคัญในเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเกษตรยั่งยืนจะมุ่งเน้น 5 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) การเพาะปลูกในพื้นที่ที่ไม่บุกรุกป่า 2) การไม่เผาวัสดุเกษตร 3) การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ 4) การสร้างความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทาน และ 5) การมีความโปร่งใสในการดำเนินงาน
ในขณะที่การขับเคลื่อนเรื่องของTraceability หรือระบบการตรวจสอบย้อนกลับนั้น เป็นเรื่องที่ซีพีให้ความสำคัญมาก ซึ่งได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ 100% และได้ขยายผลนำระบบตรวจสอบย้อนกลับใช้ในเมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบสำหรับการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำของอุตสาหกรรมเกษตรกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าแหล่งเพาะปลูกถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกป่า และไม่มีการเผาวัสดุเกษตรภายหลังการเก็บเกี่ยว
ทั้งนี้ ในประเทศไทยสามารถทำสำเร็จแล้ว 100% ท่ามกลางความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเกษตรกรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งการขยายผลมายังประเทศเมียนมาครั้งนี้ ได้มีThird Party เข้ามาช่วยตรวจสอบและให้ข้อแนะนำ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับระบบ ยิ่งทำให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบ และช่วยเติมเต็มช่องว่างต่างๆ ที่อาจจะต้องพัฒนาไปในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมเกษตร ทั้งเกษตรกร ผู้รวบรวม และพ่อค้าเพื่อนำวัตถุดิบมาสู่โรงงานผลิตอาหารสัตว์
นายวรสิทธิ์ สิทธิวิชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตประเทศเมียนมา กล่าวว่า เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส หรือ CPP ในฐานะผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้้ยงสัตว์ได้นำแนวทางการเพาะปลูกที่ยั่งยืนตามมาตรฐาน FSA (Farm Sustainability Assessment) ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานสากลมาใช้ประเมิน ปรับปรุง และตรวจรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรให้ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนทั้งในแง่สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยนำไปใช้จริงในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเมียนมา ตั้งแต่ปี 2567 ผ่านความร่วมมือกับสมาคมผู้ค้าข้าวโพดเมียนมา (MCIA) และหน่วยตรวจสอบอิสระ Control Union (เนเธอร์แลนด์) ทำการประเมินฟาร์มทุก 3 เดือน ทั้งนี้ การประเมินครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ คือตั้งแต่การเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงโรงงานอาหารสัตว์ ตามมาตรฐาน FSA
ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตประเทศเมียนมา กล่าวต่อไปว่า ระบบตรวจสอบย้อนกลับคือเครื่องมือหลักของการทำเกษตรยั่งยืน เพราะทำให้มั่นใจได้ว่าข้าวโพดทุกเมล็ดมาจากพื้นที่ที่ไม่บุกรุกป่าและไม่เผา ที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับคู่ค้าและเกษตรกร โดยให้รายงานขอบเขตพื้นที่จำหน่าย เช่น หมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ จากนั้นนำระบบดาวเทียมมาตรวจสอบพื้นที่ป่าและจุดความร้อนย้อนหลัง เพื่อประเมินความเสี่ยงและจำกัดการจำหน่ายในพื้นที่ที่มีการเผา ปัจจุบันระบบนี้ครอบคลุมพื้นที่ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ครบ 100% แล้ว และมีการตรวจรับรองจาก Control Union ทุก 3 เดือนอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายวรพจน์ สุรัตวิศิษฏ์ รองกรรมการผู้จัดการ กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) กล่าวว่า ระบบตรวจสอบย้อนกลับคือหัวใจของการเพาะปลูกที่ยั่งยืน เพราะตามมาตรฐาน FSA การเพาะปลูกที่ยั่งยืนต้องคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างสมดุล ระบบตรวจสอบย้อนกลับจะทำหน้าที่บันทึกข้อมูลระบุแหล่งที่มาของข้าวโพดตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทุกข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ และในฐานะที่บริษัทมีหน้าที่จัดซื้อและจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้กับโรงงานอาหารสัตว์ ทั้งในประเทศไทยและเมียนมา ได้เข้ามาพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อยืนยันว่าไม่ได้มาจากพื้นที่ป่า และไม่มีการเผาแปลงเพาะปลูก ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการส่งเสริมการทำเกษตรอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ยังต่อยอดด้วยการเข้าไปพัฒนาเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการให้ความรู้เรื่องการเพาะปลูกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การลดการเผาในพื้นที่เกษตร และการปรับปรุงคุณภาพผลผลิต ทำให้เกษตรกรมีความตระหนักมากขึ้นในการทำเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดบุกรุกป่า เพราะเข้าใจถึงประโยชน์ของพื้นที่ป่าต่อทั้งตนเองและชุมชน
ขณะเดียวกันผู้รับซื้อหรือเอเยนต์ก็ให้ความร่วมมือมากขึ้น ถ่ายทอดองค์ความรู้และสนับสนุนการไม่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่เสี่ยงบุกรุกป่า สำหรับระบบตรวจสอบย้อนกลับนี้ทำงานแบบ Area-based โดยเอเยนต์ต้องระบุพื้นที่รับซื้อข้าวโพดอย่างชัดเจน จากนั้นทีมงานจะลงพื้นที่ตรวจสอบหลักฐานและใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม วิเคราะห์พื้นที่จริงว่ามีพื้นที่ป่าหรือการเผาเกิดขึ้นหรือไม่ หากพบว่ามีการบุกรุกป่าหรือเผา บริษัทจะตัดพื้นที่นั้นออกจากระบบ และนำข้อมูลมาคำนวณเป็นโควตาการขาย เพื่อกำกับดูแลให้เอเยนต์แต่ละรายปฏิบัติตามมาตรฐาน
นายคณิน สะบาย หัวหน้าทีม ผู้ตรวจความยั่งยืนทางด้านเกษตร บริษัท คอนโทรล ยูเนี่ยน กล่าวว่า การตรวจประเมินจะมีมาตรฐานที่มุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ Traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ) คือประเมินตั้งแต่เกษตรกร ผู้รวบรวม ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงโรงงานแปรรูปและผู้ส่งออก เพื่อให้สามารถตรวจสอบที่มาของผลผลิตได้อย่างโปร่งใส Deforestation-Free (ไม่มีการบุกรุกป่า) โดยพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต้องไม่อยู่ในพื้นที่ป่า หรือเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนสภาพจากป่ามาก่อน และ No Burning (ไม่เผา) ห้ามมีการเผาเศษซากทางการเกษตรในพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ
จากการลงพื้นที่ตรวจประเมินรอบนี้เป็นครั้งที่ 3 และเมื่อเปรียบเทียบจากครั้งก่อนพบว่ามีเกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากขึ้น เกษตรกรจัดเก็บเอกสารเป็นระบบทำให้มีข้อมูลที่เพียงพอและสอดคล้องกับบริษัท ที่สำคัญคือมีความเข้าใจและตระหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าและผลกระทบจากการเผา ทั้งนี้มองว่าปัจจุบันภาคธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจปลายน้ำที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต้นน้ำ ซึ่งมาตรฐานที่ใช้ในโครงการนี้ก็สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืนระดับสากลที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญเช่นกัน
ขณะที่ นาย โพโยน เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด เมืองตองจี รัฐฉาน ประเทศเมียนมา เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้าร่วมโครงการการเพาะปลูกที่ยั่งยืนและเข้าระบบตรวจสอบย้อนกลับกับทางซีพี ทำให้รู้ว่าการทำเกษตรยั่งยืน ไม่ใช่แค่การปลูกพืช แต่คือการดูแลผืนดินและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน และได้พบว่าการไม่เผาแปลง ไม่เพียงช่วยรักษาดินให้สมบูรณ์ แต่ยังช่วยให้สัตว์และแมลงที่มีประโยชน์ต่อพืชได้อยู่ร่วมกันอย่างสมดุล และจนถึงขณะนี้ก็มั่นใจแล้วว่าการเกษตรยั่งยืน คือรากฐานของอนาคต
สำหรับการติดตามความคืบหน้าในการส่งเสริมการเพาะปลูกที่ยั่งยืนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมาครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างสมดุล สอดรับกับความต้องการด้านความมั่นคงทางอาหารและเป้าหมายความยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเรื่องการทำเกษตรยั่งยืน ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวเมียนมาให้ดีขึ้น อีกทั้งระบบตรวจสอบย้อนกลับถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและคู่ค้า ว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับการผลิตภายใต้มาตรฐานด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่อาหารระดับสากล


