ฉะเชิงเทรา -หน่วยงานเกี่ยวข้องใน จ.ฉะเชิงเทรา ประชุมหาทางแก้ปัญหาลำน้ำบางปะกง (สายเก่า) ตื้นเขินจากการสะสมของตะกอนดินจนกระทบวิถีชีวิตชุมชน มีทั้งเสนอทุบเขื่อนทดน้ำ-ปิดกั้นทางน้ำไหลผ่านประตูเขื่อนทดน้ำแบบถาวร
จากปัญหา แม่น้ำบางปะกง(สายเก่า) ช่วงอ้อมประตูเขื่อนทดน้ำบางปะกง ที่ไหลผ่านพื้นที่ 3 ตำบลของ จ.ฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ต.คลองจุกเฌอ ต.บางแก้ว อ.เมืองฉะเชิงเทรา และ ต.สาวชะโงก อ.บางคล้า ซึ่งเกิดการตื้นเขินรวมระยะทางยาวประมาณ 5 กิโลเมตร จนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่
ทำให้ องค์การบริหารส่วนตำบลคลองจุกเฌอ ได้ทำหนังสือถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาทางแก้ไขนั้น
วันนี้ (27 ต.ค.) น.ส.ฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3 ตำบล 2อำเภอ และผู้แทนโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง รวมทั้ง นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.เขต 1 ฉะเชิงเทรา, นายกลยุทธ ฉายแสง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อหาแนวทางแก้ไข
โดย นายกลยุทธ ฉายแสง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เผยถึงการสร้างเขื่อนทดน้ำบางปะกง ที่หลังก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ว่า นอกจากจะเป็นการทำลายระบบนิเวศแบบดั้งเดิมของลำน้ำบางปะกงแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในลำน้ำ ทั้งยังกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนในพื้นที่
ที่สำคัญยังทำให้ แม่น้ำบางปะกงสายเก่า ที่ไหลผ่านพื้นที่ชุมชนอยู่อาศัยของชาวบ้านเกิดการตื้นเขินจากระดับความลึก 18 เมตรเหลือเพียง 1 เมตร
พร้อมเสนอให้ทำการทุบทิ้ง หรือหาทางปิดกั้นบานประตูเขื่อนทดน้ำบางปะกง อย่างถาวรเพื่อไม่ให้น้ำไหลผ่านไปยังแม่น้ำบางปะกง (สายใหม่)หรือ “แม่น้ำปลอม” ซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดตะกอนดินสะสมจนทำให้ลำน้ำสายจริงตื้นเขิน
ทั้งนี้ หากทำการขุดลอกแม่น้ำบางปะกง (สายเก่า) ก็จะเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนถาวร จึงขอให้ ชลประทาน ทำการปิดกั้นทางน้ำไหลผ่านประตูเขื่อนทดน้ำแบบถาวรเพื่อให้น้ำไหลผ่านทางแม่น้ำสายเดิมแทน และจะทำให้กระแสน้ำพัดพาเอาตะกอนที่ตกสะสมไหลออกไปจากพื้นที่ตามกระแสน้ำ ตามที่ นายก อบต.คลองจุกเฌอ เสนอ
" และขอให้ทำการเปิดหรือขยายช่องทางน้ำลอดใต้คันดินและสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาปิดกั้นขวางลำน้ำสายเดิมออกไป เพื่อให้น้ำสามารถไหลผ่านได้โดยสะดวก เนื่องจากปัจจุบันมีการบีบช่องทางน้ำไหลผ่านให้เล็กลงอย่างมาก" นายกลยุทธ กล่าว
ด้าน นายปรัชญา สุวรรณจิตร หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนทดน้ำบางปะกง ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันเขื่อนทดน้ำบางปะกง ยังใช้ประโยชน์ในการหรี่บานประตูเพื่อชะลอน้ำจืดทางตอนบนไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็วช่วงฤดูฝน ทำให้พื้นที่ด้านหลังประตูเขื่อนทดน้ำตอนบน มีน้ำจืดใช้ได้นานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1-2 เดือน
และในฤดูแล้ง ที่มีน้ำทะเลหรือน้ำเค็มหนุนสูง ก็ยังสามารถหรี่บานประตูระบายน้ำเพื่อชะลอน้ำเค็มให้ไหลเข้าสู่แม่น้ำบางปะกงทางตอนบน ได้ช้าลง ช่วยยืดระยะเวลาให้การประปาปราจีนบุรี มีเวลาสูบน้ำนำไปทำการผลิตประปาได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3 เดือน
" ขณะที่การขุดลอกลำน้ำสายเก่านั้น ชลประทาน เคยทำการขุดลอกครั้งใหญ่มาแล้วที่บริเวณกลางลำน้ำกว้างประมาณ 20 เมตร เพื่อทำเป็นร่องน้ำให้การสัญจรทางเรือได้ แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของที่วางมูลดิน ที่มีจำนวนมากถึง 3 แสน ลบ.ม.แต่พื้นทีวางดินกลับมีจำกัด จึงทำได้เพียงการนำไปตั้งเป็นคันดินขึ้นที่ริมตลิ่ง แต่สามารถทำสูงได้เพียง 1.5 เมตรเนื่องจากเป็นดินเปียก และยังมีปัญหาเกี่ยวกับการขุดลอก หากดูดตะกอนดินจากกลางลำน้ำลึกมาก จะทำให้ดินจากชายตลิ่งทรุดตัวไหลกลับลงมาในแม่น้ำตามเดิมได้อีก จึงไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน" นายปรัชญา กล่าว
อย่างไรก็ดี นายชาลี จิตรประสงค์ นายกบริหารส่วนตำบลคลองจุกเฌอ ได้ขอให้ ชลประทาน ควบคุมการไหลของน้ำให้ไหลไปด้านลำน้ำเก่าสายเดิมในปริมาณมากขึ้น โดยให้ไหลผ่านบานประตูที่หรี่ลงให้น้อยลง เพื่อให้เกิดการพัดพานำตะกอนดินผ่านออกไป และไม่เกิดการสะสม ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาแม่น้ำสายเก่าตื้นเขินได้อย่างยั่งยืน โดยไม่เสียเงินงบประมาณในการขุดลอก
เพราะเชื่อว่ากระแสน้ำจะพัดพานำตะกอนดินออกไปได้เอง และวิถีชีวิตดั้งเดิมของประชาชนจะกลับคืนมา
ทั้งนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิง ได้กำชับให้มีการจัดทำแผนระยะสั้นในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องดินตะกอนสะสมลุกล้ำในลำน้ำ และหาแนวทางทำให้น้ำไหลผ่านแม่น้ำสายเดิมให้มากขึ้นเพื่อคืนวิถีชีวิตดั้งเดิมให้ประชาชนโดยไม่ต้องเสียเงินงบประมาณขุดลอกในทุกปี
โดยให้ ชลประทานและเจ้าท่าฉะเชิงเทรา เร่งทำการศึกษาความเป็นไปได้ หรือสุดท้ายหากต้องเปลี่ยนทางแม่น้ำ รวมทั้งอาจต้องปิดเขื่อนทดน้ำก็จำเป็นต้องทำก็ต้องดำเนินการ


