จันทบุรี-ผู้ว่าฯ จันทบุรี นำหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่แจงสิทธิ์การใช้ประโยชน์ที่ดินในโครงการ คทช. "ป่าขุนซ่อง" อ.แก่งหางแมว หลัง สส.นำตัวแทนชาวบ้านบุกยื่นหนังสือร้องศูนย์ดำรงธรรมขอให้ยุติโครงการดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าจะเสียสิทธิ์ทำกินในพื้นที่ป่าสงวน
จากกรณีที่ ส.ส.จันทบุรี ได้นำตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมเพื่อขอให้จังหวัดจันทบุรี ยุติการดำเนินโครงการ คทช. ใน อ.แก่งหางแมว เนื่องจากกังวลใจเรื่องสิทธิ์การครอบครองและสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ที่ดินนั้น
วันนี้ ( 15 ต.ค.) อำเภอแก่งหางแมว จึงจัดให้มีการประชุมเพื่อชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว ณ ห้องประชุมธรรมสรคุณ โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธาน และมีผู้แทนจากส่วนราชการ ตัวแทนภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นเข้าร่วม โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกิน
และชี้แจงรายละเอียดโครงการฯ รวมทั้งสำรวจความต้องการของประชาชน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.),กรมป่าไม้,สำนักงานที่ดินจังหวัด,สำนักงานสหกรณ์จังหวัด และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดจันทบุรี
โดยประเด็นปัญหาหลักที่ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลใจจนถึงขั้นขอให้หยุดโครงการฯ คือความเข้าใจว่าหากเข้าร่วมโครงการแล้วจะถูกจำกัดสิทธิ์การครอบครองที่ดินได้สูงสุดเพียง 20 ไร่ และสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นได้เพียง30 ปี ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวได้มีการก่อตั้งเป็นชุมชนก่อนที่จะมีการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ป่าสงวนในปี 2510
อีกทั้งการประกาศเขตป่าสงวน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ทางการเกษตรอื่นได้ตามที่ต้องการ
และหากไม่เข้าร่วมโครงการฯ ก็จะไม่มีสิทธิ์ทำประโยชน์ในที่ดินใดๆ ได้อีก
ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ชี้แจงว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินป่าขุนซ่องได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถทำการตัดต้นไม้และเพาะปลูกไม้ผลชนิดอื่นได้ เพียงแต่ต้องยื่นขออนุญาตตัดไม้จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อน (เฉพาะไม้ที่ไม่ใช่ไม้หวงห้าม)
และยังได้ชี้แจงข้อจำกัดเพิ่มเติม คือห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดิน และห้ามปล่อยเช่าที่ดินดังกล่าว โดยกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินต้องปลูกต้นไม้ยืนต้น 2 ต้นต่อไร่ หรือ 40 ต้นต่อไร่ (ขึ้นอยู่กับประเภทผู้ได้รับการจัดสรร) เพื่ออนุรักษ์ป่าควบคู่ไปกับการทำกิน และต้องปลูกให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ซึ่งบัญชีชนิดไม้วงศ์ทุเรียนก็ยังสามารถปลูกได้ และขอให้ประชาชนพิจารณารายละเอียดบัญชีชนิดไม้เพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ประชาชนที่มีหลักฐานว่า ตนเองได้อยู่อาศัยในพื้นที่ก่อนการประกาศเป็นเขตป่าสงวน สามารถนำหลักฐานต่างๆ อาทิ
เอกสาร สค.1,พยานบุคคล,พยานวัตถุ หรือภาพถ่ายทางอากาศ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อพิสูจน์สิทธิ์ และให้ยื่นหลักฐานต่อฝ่ายปกครองท้องที่ และสำนักงานที่ดินจังหวัด
ส่วนข้องกังวลใจของชาวบ้านเกี่ยวกับการจำกัดจำนวนที่ดินที่ให้ครอบครองได้จำนวน 20 ไร่ต่อราย ที่ประชุมจะได้นำเรื่องดังกล่าวกลับไปพิจารณา เพื่อผลักดันเพิ่มเติมเพื่อขยายพื้นที่การครอบครองให้มากขึ้น พร้อมเน้นย้ำว่าที่ดินที่ได้รับการจัดสรรสามารถเป็นมรดกตกทอดสู่ทายาทได้
โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดประชุมในครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีความเข้าใจในรายละเอียดของโครงการ
คทช. มากขึ้น และรู้สึกมั่นใจในการเข้าถึงสิทธิ์การทำกินที่จะได้รับเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการต่อไป


