นครสวรรค์ - “เจ้าพระยา”หนุนสูงตั้งแต่ต้นน้ำ แถมน้ำเหนือยังหลากสมทบลงต่อเนื่อง..มวลน้ำท่วมมิดทางเดิน “พาสาน” จนต้องสั่งปิดแลนด์มาร์กปากน้ำโพแล้ว ขณะที่ชุมชนริมฝั่งน้ำรอบพื้นที่จมบาดาล ชาวบ้านต้องขนข้าวของ-หนีนอนบนถนนแทน
สถานการณ์น้ำในพื้นที่เขต อ.เมืองนครสวรรค์ บริเวณศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้(4 ต.ค.) ยังคงมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมวลน้ำไหลย้อนมาตามท่อระบายน้ำ และเอ่อล้นเข้ามาท่วมเจิ่งนองภายในบริเวณศาลเจ้า แม้จะยังไม่มาก แต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงไม่หยุด เพราะมีมวลน้ำจากแม่น้ำน่านยังไหลเข้ามาสบทบ
ล่าสุดมีรายงานว่า เทศบาลนครนครสวรรค์ ต้องสั่งปิดสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์กชื่อดังอย่าง “พาสาน” บริเวณต้นแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว เนื่องจากน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นจนท่วมเส้นทาง ที่จะเดินทางไปพาสาน และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้เดินทางไปท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน จากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลกระทบหนักทำให้ชุมชนบางปรอง ซึ่งอยู่ติดกับศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ต้องถูกระดับน้ำท่วมเพิ่มสูงตามไปด้วย ทำให้ชาวบ้านในชุมชนดังกล่าว ต่างต้องขนย้ายสิ่งของมีค่า และอพยพครอบครัวขึ้นมาอาศัยอยู่บนเต็นท์ริมถนนที่ทางเทศบาลนครนครสวรรค์ ได้จัดเตรียมไว้ให้เป็นการชั่วคราวไปก่อน
จากการสำรวจบริเวณรอบๆ ชุมชน พบว่า มีบ้านเรือนของชาวบ้านหลายหลัง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ต่ำ ถูกมวลน้ำไหลทะลักเข้ามาท่วมจนมิดพื้นที่ชั้น 1 แต่ก็พบว่า มีบ้านบางหลัง ที่เจ้าของต้องจำใจเฝ้าพักอาศัยอยู่ในบ้านบนชั้น 2 เนื่องจากมีความเป็นห่วงบ้าน แม้จะเดินทางเข้าออกระหว่างบ้านกับถนนก็ตาม
จากการสอบถามนายปัญญา โพธิ์ทัย อายุ 57 ปี ชาวบ้านชุมชนบางปรอง กล่าวว่า ปกติพื้นที่ชุมชนนี้ มักจะถูกน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี แต่ 2 ปีก่อนไม่มีน้ำท่วม ส่วนน้ำท่วมชุมชนปีนี้ แม้จะมีน้ำมาก แต่ก็ยังไม่มีอะไรค่อยน่าเป็นห่วงมาก เมื่อเทียบกับน้ำท่วมปี 2554 แม้จะยังมีมวลน้ำจากภาคเหนือไหลเข้ามาสบทบอีกเยอะ แต่ก็ไม่น่าจะเข้าขั้นระดับวิกฤติแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลด้วยว่า ทางกรมชลประทาน ได้มีการทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จากอัตรา 2,400 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,500 ลบ.ม./วินาทีแล้ว เนื่องจากยังมีปริมาณน้ำสะสมทางตอนบนจากอิทธิพลของพายุ “บัวลอย” ไหลลงมาสมทบอย่างต่อเนื่อง.