กาญจนบุรี - คดีเยาวชนหญิงถูกทำร้ายร่างกายต่อเนื่องกลางเมืองกาญจนบุรี ถูกเผยแพร่คลิปจนสังคมวิจารณ์หนัก ล่าสุดนักเคลื่อนไหวชื่อดัง พร้อม พม. นำผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ตร.ย้ำดำเนินคดีรอบด้านเพื่อให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
วันนี้( 25 ก.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี นายรพี ชำนาญเรือ นักเคลื่อนไหวด้านสังคมที่เป็นที่รู้จักในฉายา “มือปราบไซยาไนด์” พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จังหวัดกาญจนบุรี ได้นำตัวเด็กหญิง บี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความเอาผิดต่อกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายและบันทึกคลิปวิดีโอเผยแพร่
การเข้าร้องทุกข์ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีมีคลิปวิดีโอเผยแพร่บนโลกออนไลน์ แสดงภาพกลุ่มวัยรุ่นหญิงรุมทำร้ายเด็กผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันอย่างรุนแรงในหลายเหตุการณ์ ทั้งในห้องเช่าและพื้นที่ถนนริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “สกายวอล์ค” โดยผู้เสียหายคือ เด็กหญิง เอ อายุ 13 ปี และเด็กหญิง บี อายุ 14 ปี ซึ่งแม้ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ต่างตกเป็นเหยื่อในพฤติกรรมคล้ายกันของกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่ถูกระบุว่ามี “นาว” (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี เป็นแกนนำ
กรณีแรก เด็กหญิงเอ วัย 13 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นหญิงทำร้ายที่บริเวณถนนริมน้ำฯ เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา จากการสืบสวนพบว่ามีผู้ร่วมก่อเหตุหลายคนตั้งแต่อายุ 15 ปี ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ 24 ปี โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอออกมาในภายหลัง ทำให้สังคมรับรู้และวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ต่อมาได้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีก เด็กหญิงบี อายุ 14 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นหญิงทำร้ายภายในห้องเช่า เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกคลิปไว้เช่นเดียวกัน และแพร่ต่อไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์จนสร้างแรงสะเทือนใจแก่ผู้ปกครองและประชาชน
พ.ต.อ.สุรยุทธ เมฆมังกร ผู้กำกับการ สภ.เมืองกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายทุกรายอย่างละเอียด รอบคอบ และเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เท่าที่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยย้ำว่าคดีนี้ได้รับความสนใจจากทั้งสังคมและผู้บังคับบัญชาระดับสูง
ขณะเดียวกัน ฝ่ายพัฒนาสังคมฯ ได้เข้ามาดูแลสภาพจิตใจของเด็กผู้เสียหายอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดสหวิชาชีพจากอัยการ นักจิตวิทยา และสังคมสงเคราะห์ เข้าร่วมสอบปากคำเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็ก
ด้านนายรพี เปิดเผยว่า ครอบครัวของผู้เสียหายทั้งสองรายได้ร้องขอให้ตนเข้ามาช่วยเหลือเพื่อเป็นที่พึ่งในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากเกรงว่าคดีอาจไม่ได้รับการดำเนินการอย่างเข้มข้นเพียงพอ โดยตนยืนยันว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมาย 4 ประการ คือ 1หยุดพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงซ้ำซากของกลุ่มวัยรุ่นหญิงดังกล่าว 2 ป้องกันไม่ให้เยาวชนกลุ่มอื่นเลียนแบบพฤติกรรม
3 กระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง 4 เตือนผู้ปกครองให้ใส่ใจพฤติกรรมของบุตรหลานในยุคที่ภัยสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้น การเผยแพร่คลิปที่เห็นคือการทำร้ายเพื่อนวัยใกล้เคียงกันโดยไม่มีความเกรงกลัวกฎหมาย การถ่ายคลิปเก็บไว้เพื่อความสะใจเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย
นอกจากการถูกทำร้ายร่างกายแล้ว ครอบครัวของเด็กหญิงเอ วัย 13 ปี ยังได้ให้ข้อมูลว่า บุตรสาวถูกผู้ชายวัยผู้ใหญ่ อายุ 36 ปี ล่วงละเมิดทางเพศด้วย โดยคบหากันในลักษณะเชิงชู้สาวมาระยะหนึ่ง ขณะนี้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แยกดำเนินการเป็นอีกหนึ่งคดี และอยู่ระหว่างการสอบสวนภายใต้สหวิชาชีพ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของเด็กผู้เสียหาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ปกครองในจังหวัดกาญจนบุรี แสดงความวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของบุตรหลาน เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่สาธารณะใจกลางเมือง ขณะเดียวกัน สังคมออนไลน์ต่างเรียกร้องให้ตำรวจเร่งนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว เพื่อสร้างบรรทัดฐานและเป็นตัวอย่างสำหรับเยาวชนรายอื่น ๆ
ขณะที่ นักสังคมสงเคราะห์ในพื้นที่ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง ทั้งการเลี้ยงดูของครอบครัว การขาดพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเยาวชน รวมถึงค่านิยมการใช้ความรุนแรงที่แพร่กระจายบนโลกออนไลน์ หากไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง อาจก่อให้เกิดปัญหาลุกลามในวงกว้าง
คดีเยาวชนหญิงถูกทำร้ายในกาญจนบุรีครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทยว่าจะสามารถคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนได้จริงเพียงใด ท่ามกลางสายตาของประชาชนที่เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งตำรวจ พม. และนักเคลื่อนไหวทางสังคม ต่างประกาศยืนหยัดเดินหน้าตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก