ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ป.ป.ช.ภาค 3 ชี้มูลความผิด “เกษม ศุภรานนท์” อดีต สส.โคราช พรรคพลังประชารัฐ กล่าวหาทุจริตขณะเป็นผอ.โรงเรียนดังโคราช ฮุบเงินค่าเช่าผู้ประกอบการในโรงเรียนและก่อสร้างป้ายโรงเรียนแพงเกินจริง ด้าน พาณิชย์จังหวัดอุบลฯ ร่ำรวยผิดปกติ เผยมีทรัพย์กว่า 200 ล้าน เพิ่มขึ้น 81 ล้าน ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้
วันนี้ (26 ส.ค.68) ที่สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 3 อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา นายยศกร ศรีคลัง ผอ.กลุ่มประสานการป้องกันการทุจริตภาค 3 และนางสาวสุกัญญา พลายมนต์ พนักงานไต่สวนระดับสูง สำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 3 ได้ร่วมกันแถลงข่าวชี้มูลความผิด นายเกษม ศุภรานนท์ อดีต สส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ สมัยยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา โดยถูกกล่าวหาว่าขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.รร.อนุบาลนครราชสีมาได้มีการเรียกเก็บเงินกับผู้ประกอบการร้านค้าภายในโรงเรียนโดยมิชอบไม่ได้นำเงินที่เก็บมาเข้ามาเป็นรายได้ของโรงเรียน ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีการเบิกจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโดยมิชอบ
โดยกรณีดังกล่าวนั้นได้มีการสอบปากคำพยานบุคคลไปแล้วกว่า 40 ปาก พร้อมกับมีเอกสารหลักฐานกว่า 60 รายการ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาเมื่อย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมาได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการเก็บเงินกับผู้ประกอบการในโรงเรียนซึ่งมีทั้งหมด 8 ราย โดยเปลี่ยนจากการเก็บค่าเช่าจากรายวันมาเป็นการเก็บล่วงหน้าในครั้งเดียวโดยเรียกเก็บรายละ 1 – 4 แสนบาท รวมเป็นเงินกว่า 2,700,000 บาท โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีผู้ประกอบการ 5 ราย นำเงินไปส่งมอบให้กับตัวผู้ถูกกล่าวหาโดยตรงและตัวผู้ถูกกล่าวหานั้นได้มีการเบียดบังเงินรายได้ส่วนนี้ไป 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งในประเด็นนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาตามมาตรา 147 ,149 , 151 และมาตรา 157
ส่วนในประเด็นที่ 2 ในกรณีการเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนโดยมิชอบปรากฏข้อเท็จจริงว่าตัวผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งครูภายในโรงเรียนให้นำเงินค่าอาหารกลางวันมามอบให้กับผู้ถูกกล่าวหาโดยอ้างว่าจะนำเงินไปพัฒนาโรงเรียน โดยได้มีการว่าจ้างเอกชนที่มีความสนิทสนมกันมาทำป้ายโรงเรียนมูลค่ากว่า 500,000 บาท และมีการทำเอกสารประมาณการราคากลางย้อนหลัง ซึ่งจากการสอบปากคำพยานทางด้านโยธาฯ พบว่ามูลค่าของป้ายโรงเรียนมีมูลค่าเพียง 300,000 บาท ซึ่งเท่ากับว่าการก่อสร้างป้ายโรงเรียนนั้นมีราคาการก่อสร้างแพงกว่าความเป็นจริง โดยประเด็นนี้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้ชี้มูลความผิดทางอาญามาตรา 151 และ มาตรา 157 และ มีการชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
สำหรับกรณีการชี้มูลความผิดของ นายประวิทย์ จารุรัชกุล นายก อบต.สำโรง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติและมูลหนี้สินลดลงผิดปกติ โดยคดีดังกล่าวจาการไต่สวนพบว่ามีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติกว่า 37 ล้านบาท ซึ่งจากการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของผู้ถูกกล่าวหานั้นพบว่ารายจ่ายที่จ่ายออกไปนั้นไม่สอดคล้องกับรายรับ นอกจากนี้ทางผู้ถูกกล่าวหายังไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวได้จึงถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ
ส่วนคดีสุดท้ายการชี้มูลความผิดของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือนายวัทธิกร หรือ มังกร ใสงาม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดสุรินทร์ฐานร่ำรวยผิดปกติ โดยกรณีนี้เมื่อตอนกล่าวหาว่า นายกิตติทัศน์ หรือนายวัทธิกร มีทรัพย์กว่า 200 ล้าน แต่จากการไต่สวนพบว่าผู้ถูกกล่าวหานั้นมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นประมาณ 81 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากประมาณ 74 ล้านบาท มีที่ดินมูลค่าประมาณ 6 ล้านบาท รถยนต์ประมาณ 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวนั้นไม่สัมพันธ์กับรายได้และไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ
ทั้งนี้การชี้มูลความผิดของป.ป.ช.ยังไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดผู้ถูกกล่าวหาทุกรายยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดนางสาวสุกัญญา กล่าว