พิจิตร - อัยการพิจิตร-พม.ร่วมลงพื้นที่เหยื่อถูก 3 สาว จนท.เทศบาลฯ อ้างชื่ออ้างสิทธิผู้พิการ-ผู้ป่วยติดเตียง-ผู้มีรายได้น้อย ตัดต่อภาพสวมชุด ขรก.-ปลอมแปลงบัตร ยื่นแบงก์ขอบัตรเครดิต-บัตรเงินสด กดเงินเต็มลิมิตทิ้งหนี้จนถูกฟ้องเป็นจำเลยต้องชดใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อกันกว่า 40 ราย หลังธนาคารตามสืบ-แจ้งกองปราบฯ/ป.ป.ท.จับคา สนง.
นายเอนก ถนอมจิตร์ อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดพิจิตร มอบหมายให้ นายประเสริฐ ใจสนธิ์ อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สนง.สคช.พิจิตร และ นางสาวสุจิรา เบิกสว่าง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการ จ.พิจิตร, นายวรพล โหมดชัง นิติกร สนง.พม.พิจิตร, นายนเรศ แก่นเพิ่ม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ต.วังกรด อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือทางคดี กรณีนายสมชาย (นามสมมติ) ผู้พิการขา ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ผบ E3176/2568 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ศาลสั่งปิดหมายตกเป็นจำเลย ถูกธนาคารแห่งหนึ่งฟ้องในคดีแพ่งจากหนี้ที่ไม่ได้ก่อ เบื้องต้น สนง.สคช.พิจิตรจะส่งทนายมาประสานงานและให้ความช่วยเหลือต่อสู้คดีแทนในชั้นศาล ซึ่งผู้พิการต้องลงนามแต่งตั้งทนายและทำเรื่องขอความช่วยเหลือตามระเบียบที่สามารถช่วยเหลือได้
ด้านนางสาวสุจิรา เบิกสว่าง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการ จ.พิจิตร, นายวรพล โหมดชัง นิติกร สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พิจิตร อธิบายถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่าเนื่องจากมีผู้แอบอ้างนำข้อมูลชื่อ-ที่อยู่ของผู้พิการไปใช้ทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด แต่ใช้ที่อยู่ของผู้แอบอ้างเป็นที่อยู่สำหรับการติดต่อ เมื่อธนาคารทวงหนี้จึงไม่ได้รับรู้ข่าวสารมารู้อีกครั้งก็ตกเป็นจำเลยในศาลดังกล่าว
เรื่องนี้ สนง.พม.พิจิตรก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือดูแลผู้พิการที่ต้องตกเป็นจำเลยในเคสของ 3 สาวเจ้าหน้าที่เทศบาลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร สวมสิทธิทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ และ ป.ป.ท.บุกจับทั้ง 3 สาวดังกล่าวนี้แล้ว
ขณะที่นายสมชาย (นามสมมติ) ซึ่งเป็นผู้ขาพิการที่ตกเป็นจำเลย ระบายความในใจว่าทุกข์มาก ไม่นึกเลยว่าคนพิการนอกจากจะใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากแล้วยังต้องมาถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คิดว่าเป็นที่พึ่งพิงมาหลอกลวงต้มตุ๋นจนตกเป็นจำเลยถึงสองคดี โดยคดีแรกฝ่ายเจ้าหนี้ทราบข้อเท็จจริงจึงไม่ฟ้องศาล ส่วนคดีที่อัยการ (สคช.พิจิตร) มาช่วยครั้งนี้เป็นคดีที่สอง ตนเองกลุ้มใจมากยอมรับว่าเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องมาเจอวิบากกรรมแบบนี้ จนบางครั้งอยากคิดฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
กรณี 3 สาวเจ้าหน้าที่เทศบาลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร สวมสิทธิทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ถูกตำรวจกองปราบฯ-ป.ป.ท.เข้าจับคุมคาเทศบาลฯ พร้อมของกลางใบแจ้งหนี้จากธนาคารต่างๆ ระบุชื่อบุคคลอื่น 507 ฉบับ, บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของบุคคลอื่น 116 ใบ, สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลอื่น 35 ชุด เครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ รอง ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป. และ นายณภัทร เทอดไทย ผู้แทนของธนาคารเกียรตินาคิน ร่วมกันแถลงข่าวที่กองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป.) ว่าเจ้าหน้าที่ได้จับกุม น.ส.นุชรีย์ อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่แผนกนักวิชาการการเงินและบัญชี กองการคลัง น.ส.จุฬาพร อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่นักจัดการงานทั่วไป และ น.ส.อมรรัตน์ อายุ 51 ปี ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล ทั้งหมดสังกัดสำนักงานเทศบาลตำบลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร
ตามลำดับหมายจับศาลอาญา ที่ 3106-308 /2568 ลงวันที่ 27 พ.ค. 68 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง, ปลอมและใช้เอกสารปลอม, มีไว้ใช้และใช้เบิกถอนเงินสด ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ” ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 3 คนทำงานอยู่ที่เทศบาลตำบลวังบงค์ มีพฤติการณ์ออกไปพบกับกลุ่มชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้มีรายได้น้อย อ้างว่าจะทำเอกสารขอสิทธิรับเงิน หรือสิ่งของช่วยเหลือจากทางราชการให้ พร้อมขอเอกสารประจำตัว บัตรประชาชน ข้อมูลบัญชีธนาคาร และเอกสารอื่นๆ
จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาร่วมกันทำเอกสารปลอมตัดต่อภาพใบหน้าจากบัตรประชาชนไปใส่เครื่องแบบข้าราชการออกหนังสือรับรองเงินเดือนว่าเป็นพนักงานข้าราชการ รวมทั้งปลอมรายการเดินบัญชีว่ามีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นบาท โดยส่งข้อมูลไปยังธนาคารต่างๆ เพื่อขออนุมัติบัตรสินเชื่อเงินสด (บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด) เมื่อมีการอนุมัติบัตรแล้วและส่งบัตรกดเงินสดในนามของเหยื่อมาที่เทศบาลที่ผู้ต้องหาทั้ง 3 ทำงาน ก่อนจะนำบัตรดังกล่าวไปกดเงินสดออกมานำไปใช้จ่ายส่วนตัว
ต่อมาธนาคารเกียรตินาคินภัทร และธนาคารกสิกรไทยตรวจพบกลุ่มลูกค้าที่มีสถานที่ทำงานอยู่ในสำนักงานเทศบาลเดียวกันที่ จ.พิจิตร ประมาณ 40 ราย ที่ยื่นขอสมัครสินเชื่อบัตรกดเงินสด พบข้อพิรุธว่าอาจมีการทุจริต ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ขอสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่มีรายได้น้อย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ไม่ได้เป็นผู้สมัครสินเชื่อดังกล่าวจริง จึงเข้าแจ้งความกองปราบฯ
พ.ต.อ.เอกสิทธิ์กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 67 เมื่อได้บัตรมาจะนำไปกดเงินสดออกมาจนเต็มวงเงินที่ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 หมื่นบาท ความเสียหายที่พบในขณะนี้ประมาณ 2 ล้านบาท สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้ธนาคารตรวจจับความผิดปกติของบัญชี กลุ่มผู้ต้องหาจะใช้วิธีชำระหนี้อัตราขั้นต่ำเพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบจากธนาคารอีกด้วย
จากการสอบสวน น.ส.นุชรีย์รับสารภาพว่าต้องการหาเงินไปใช้หนี้นอกระบบ บางส่วนนำเอาไปเล่นพนันหวยออนไลน์ ส่วน น.ส.จุฬาพร และ น.ส.อมรรัตน์ ให้การปฏิเสธ ซึ่งได้นำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.ดำเนินคดีแล้ว