ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 ส.ค.) พ.ต.อ.กรภพ เนตรไธสง ผกก.สภ.บ้านฝาง พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวน สภ.บ้านฝาง นำตัวนายพงศธร พ่อของทารกแรกเกิด ที่ก่อเหตุเผาร่างลูกชายตัวเองในเตาเผาถ่าน มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ส่วนนางสาวปนัดดา แม่ของเด็กเกิดความเครียด หน้าซีดจะเป็นลม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำส่งโรงพยาบาลบ้านฝาง ทำให้ไม่สามารถมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพร่วมกันได้
บรรยากาศการทำแผนฯ มีชาวบ้านในพื้นที่พากันมารอดูการทำแผนฯ ของทางตำรวจเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองต้องควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย เนื่องจากชาวบ้านต่างโกรธแค้นที่พ่อและแม่ของเด็กก่อเหตุสะเทือนใจดังกล่าวขึ้นในพื้นที่ มีเสียงด่าทอสาปแช่งของชาวบ้านดังขึ้นเป็นระยะ
โดยจุดแรกนั้นเป็นจุดที่พ่อและแม่เด็กนำร่างของลูกชายซึ่งห่อใส่ตะกร้าสีชมพู ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายเข้ามาจอดบริเวณกระท่อมหน้าเตาเผาถ่าน แล้วถือตะกร้าไปวางไว้บริเวณด้านหน้าเตาเผาถ่าน แล้วเอาสังกะสีที่อยู่บริเวณนั้นไปวางรองในเตาถ่าน พร้อมกับนำท่อนฟืนขนาดใหญ่ประมาณ 7-8 ท่อนที่อยู่ใกล้ๆ ไปวาง ก่อนเอาผ้าชุบน้ำมันในถังรถจักรยานยนต์ของตัวเองมาวางเป็นเชื้อเพลิง และเปิดฝาตะกร้าที่ใส่ร่างลูกเอาไว้โดยไม่ได้ดูศพ แล้วโยนเข้าไปในเตาเผาถ่านทั้งตะกร้าก่อนจะจุดไฟเผา
พอไฟลุกท่วมประมาณ 20 นาทีก็นำสังกะสีอีกแผ่นมาปิดแล้วทั้งคู่ก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปที่บ้านของเจ้าของไร่อ้อยที่มีเตาเผาถ่านทันที ซึ่งในช่วงที่ชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพนั้น นายพงศธรกล่าวขอขมาวิญญาณลูกชายด้วยว่าเสียใจและขอโทษ และบอกอีกว่าเป็นลูกคนแรกแต่เรื่องเป็นแบบนี้แล้วก็ขออโหสิกรรมให้พ่อ ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวไปทำแผนยังจุดที่ 2 ที่บ้านของเจ้าของไร่อ้อยที่มีเตาเผาถ่าน
จุดที่ 2 นั้น นายพงศธรบอกว่าพาภรรยามานอนพักในบ้านเจ้าของไร่อ้อย เนื่องจากรู้จักกันมานานแล้วและเคยมาเล่นด้วยเป็นประจำ โดยช่วงที่พามานั้นบอกกับเจ้าของบ้านว่าภรรยาผิดสำแดงขอนอนพัก พร้อมกับซื้อกับข้าวมากิน โดยตนเองนั่งเงียบ ส่วนภรรยาเป็นคนพูดคุยเล่นกับเจ้าของบ้านทั่วไป ไม่ได้บอกว่าไปเผาอะไรมา และไม่มีใครสงสัยอะไร พอถึงช่วงกลางคืนทั้งคู่ก็พากันไปพักที่แมนชั่นในเมืองขอนแก่น
พ.ต.อ.กรภพ เนตรไธสง ผกก.สภ.บ้านฝาง กล่าวว่า ทั้งคู่ให้การภาคเสธ ซึ่งฝ่ายหญิงให้การว่าไม่ได้ทำร้ายลูกจนตาย แต่เกิดจากการที่ตัวเองเป็นลมหน้ามืด หมดสติแล้วล้มทับลูกจนเสียชีวิต ซึ่งขัดต่อพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเด็กได้คลอดออกมาเป็นบุคคลแล้ว มีอวัยวะทุกส่วนของร่างกายทำงานครบถ้วนสมบูรณ์ โดยคลอดออกมาได้ประมาณ 2-5 วันและมีสายรกติดอยู่ มีการกินนมจากมารดาเพราะขี้เทาของเด็กนั้นหมดแล้ว ซึ่งตรวจในท้องและลำไส้ใหญ่มีอุจจาระสีเหลืองแล้ว ทำให้ยืนยันได้ว่ามีการกินการย่อยในร่างกายแล้ว
นอกจากนี้ยังพบบาดแผลของเด็กบริเวณด้านหลังมีการกระทบกระเแทกกับของแข็งไม่มีคม และเป็นลักษณะตีอย่างแรงที่บริเวณกะโหลกด้านหลัง น่าเชื่อได้ว่าเกิดจากการถูกจับกระแทกซึ่งอาจจะกระแทกที่พื้นหรือของแข็งบางอย่าง ไม่พบแผลกดทับหรือฟกช้ำบริเวณทรวงอก ทำให้ขัดกับคำให้การที่ฝ่ายหญิงบอกว่าคลอดลูกออกมาบนเตียงแล้วเป็นลมหมดสติทับลูก โดยตำรวจไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของแม่เด็ก จะมีการสอบปากคำเพิ่มเติมเพราะเชื่อว่าแม่ทำร้ายลูกจนเสียชีวิต
ในเบื้องต้นตำรวจได้ตั้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา และร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย”