xs
xsm
sm
md
lg

‘นครปฐม’ นำร่องต้นแบบลด ‘NCDs’‘อนุชา’ ผุดสายตรวจในโรงเรียน แจ้งพบอาหาร ‘หวาน มัน เค็ม’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ภูมิภาค-“อนุชา” รมช.สาธารณสุข ลงนามความร่วมมือ “ลดโรคไม่ติดต่อ NCDs” จ.นครปฐม มุ่งดึงพลังเด็ก-เยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิต เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-ลดปัจจัยเสี่ยง หวังปลูกฝังจากรั้วโรงเรียนก่อนถ่ายทอดสู่ครอบครัว เผยเตรียมคัดเลือกนักเรียนตั้งเป็น ‘สายตรวจNCDs’ สอดส่องอาหาร “หวาน มัน เค็ม” มากเกิน


เมื่อเร็วๆนี้ ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ (เทพผดุงพร) อ.เมือง จ.นครปฐมนายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือพัฒนาระบบสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ด้วยธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาพื้นที่ จังหวัดนครปฐม ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภายในจังหวัด

สำหรับ MOU ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสานพลังสถานศึกษาในพื้นที่ จ.นครปฐม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ลดปัจจัยเสี่ยงจากโรค NCDs อย่างยั่งยืน ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ภายใต้นโยบายคนไทยห่างไกล NCDs ของสธ. รวมไปถึงกรอบทิศทางนโยบายของ สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วย การสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคม เพื่อลดโรคไม่ติดต่อ และธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565

นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญของโรค NCDs มาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ในวันนี้จึงจะมุ่งเป้ามายังสถานศึกษาเป็นพื้นที่สำคัญของการเริ่มต้นปลูกฝังพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงเพื่อลดโรค NCDs ซึ่งเชื่อว่าโรงเรียนราชินีบูรณะ รวมถึงเด็กและเยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิตใน จ.นครปฐม จะเป็นพลังสำคัญของการขับเคลื่อนและสามารถเป็นต้นแบบเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆต่อไปได้

“เราปรารถนาอยากให้เยาวชนเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้โรค NCDs หายไป หรือลดลงเหลือให้น้อยที่สุด โดยเริ่มจากครัวของเราคืออาหารในโรงเรียน อย่างไรก็ตามอาหารในโรงเรียนเราก็คงเคร่งได้เพียงมื้อเที่ยงมื้อเดียวเท่านั้น แต่อีกสองมื้อนั้นไปตกอยู่ที่บ้าน คือตอนเช้าและตอนเย็น รวมถึงพฤติกรรมการกินจุบจิบที่อาจไม่ตระหนักถึงโรคภัย ดังนั้นเราจึงมีความมุ่งมั่นปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความตระหนักรู้ แล้วนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยแพร่ ไปแนะนำให้กับผู้ปกครองและครอบครัว เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ทิศทางที่ดีต่อสุขภาพ” รมช.สธ. กล่าว

ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้อำนวยทุกโรงเรียน รวมถึงผู้อำนวยการเขตการศึกษาทุกเขตใน จ.นครปฐม ในการร่วมกันดำเนินการเพื่อปกป้องเยาวชนไม่ให้เจ็บป่วยจากโรค NCDs โดยจะมีการคัดเลือกนักเรียนในทุกโรงเรียนขึ้นมาเป็น ‘สายตรวจ NCDs’ คอยทำหน้าที่สอดส่องสำรวจอาหารภายในโรงเรียน ว่ามีร้านไหน หวาน มัน เค็ม มากเกินไปหรือไม่ แล้วให้รายงานมาที่ นายศุภโชค ศรีสุขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จ.นครปฐม ซึ่งตนจะแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสายตรวจ NCDs ร่วมเป็นเครือข่ายที่จะปกป้องสุขภาพเยาวชน และหวังที่จะเป็นโมเดลขับเคลื่อนไปทั่วประเทศต่อไป




ขณะที่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องของสุขภาพสามารถส่งผลกระทบกับการศึกษาได้ หากมีสุขภาพที่ไม่ดีคงจะทำผลการเรียนให้ดีลำบาก หรือหากสุขภาพของพ่อ แม่ ผู้ปกครองไม่ดี กระทบเศรษฐกิจรายได้ ก็ส่งผลมาถึงการศึกษาของลูกได้ด้วยเช่นกัน และแม้ประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา แต่ค่าเดินทางหรือการที่ต้องสูญเสียรายได้ไปก็เป็นผลกระทบไม่น้อย ดังนั้นหลักการสำคัญก่อนที่ต้องรักษา จึงเป็นการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อให้เกิดโอกาสป่วยได้น้อยที่สุด

พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 จึงเกิดขึ้นจากฐานคิดของการสร้างนำซ่อม โดยระบบสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การจัดบริการ แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี หรือการมีนโยบายที่ดี ดังนั้นหน่วยงาน สช. จึงเป็นกลไกในการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนมิติต่างๆ ให้คนมีสุขภาพที่ดี หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา เป็นข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพเด็กและเยาวชนภายในโรงเรียนหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต การบูลลี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

“โรค NCDs ซึ่งเป็นเรื่องของพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม จึงเป็นงานที่ทำคนเดียวไม่สำเร็จ แต่ต้องมาร่วมกันทำเป็นหมู่คณะ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ จุดตั้งต้นของเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ที่โรงพยาบาล เราจะไปรอให้คนอายุมากแล้วมาแก้ก็คงไม่ทัน ดังนั้นจุดสำคัญคือครอบครัว และโรงเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ให้เคยชินกับการทานที่ไม่ติดรสหวาน มัน เค็ม พวกนี้ลิ้นเราปรับได้แต่อาจต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งโรงเรียนจะเป็นที่ที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้” นพ.สุเทพ กล่าว

ด้าน นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนใน จ.นครปฐม ค่อนข้างติดรสหวาน สะท้อนให้เห็นตั้งแต่ประโยคแรกในคำขวัญประจำจังหวัด โดยการทานหวานมักเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเป็นโรค NCDs ที่ส่วนใหญ่จะมีลำดับไล่ไปจากการเป็นเบาหวาน ความดัน หลอดเลือด มะเร็ง ฯลฯ ส่วนความน่าเป็นห่วงของเด็กไทยในทุกวันนี้ คือมีภาวะโรคอ้วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม เช่น ฟาสต์ฟูด กับอีกส่วนก็มาโรคเครียด เป็นต้น




สำหรับข้อกำหนด 6 ประการ ซึ่งเป็นแนวทางที่อยากให้เด็กและเยาวชนยึดถือไปใช้ เพื่อป้องกันโรค NCDs ได้แก่ 1.อาหาร ลดหวาน มัน เค็ม เลือกทานผักผลไม้หลากสี ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน เลี่ยงของทอด ขนมซอง ฯลฯ 2.ออกกำลังกาย ให้ได้อย่างน้อย 30-60 นาทีต่อวัน เป็นประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ รวมถึงการออกไปกลางแจ้งเพื่อรับแสงแดดบ้าง จะมีส่วนช่วยต่อการเจริญเติบโตด้วย 3.การนอนหลับ ต้องนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน และการนอนที่ดีควรเข้านอนก่อน 22.00 น. ที่สำคัญคืองดเล่นมือถือหรือดูหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที

4.การจัดการความเครียด ปรึกษาพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว เมื่อเกิดความเครียด ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่ชอบ 5.ความสัมพันธ์ที่ดี การพูดคุยหรือทำกิจกรรมต่างๆ กับพ่อ แม่ เพื่อน 6.หลีกเลี่ยงสารเสพติด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันเป็นภัยอันตรายที่สามารถเข้าถึงรั้วโรงเรียนได้หลายรูปแบบ


กำลังโหลดความคิดเห็น