อุบลราชธานี -"ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกับทหารกัมพูชา พื้นที่ปราสาทตาควายตอนสายวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา
วันนี้ (3 ส.ค.) เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเพลิงศพ จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว วีรบุรุษทหารรบพิเศษ สังกัดกองพันปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3 (ฉก.90) ผู้ซึ่งได้สละชีพเพื่อชาติจากเหตุปะทะในพื้นที่ปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ณ วัดไชยธราวาส บ้านตุใหญ่ ต.กาบิน อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี โดยมีพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี มีพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นำหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนชาวจังหวัดอุบลราชธานี เข้าร่วมในพิธีด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง
สำหรับ จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 เป็นบุตรของนายจัดดา ป้องแก้ว กับนางคำอาจ ป้องแก้ว โดยเป็นบุตรคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน หลังจบมัธยมปลายได้สอบเข้ารับราชการกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษและเริ่มรับราชการเมื่อปี 2555 และได้สมรสกับนางสาวเพ็ญศิริ ศรีลาภา มีบุตรเป็นชายด้วยกัน 1 คน
โดยวันเกิดการปะทะเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 28 ก.ค.จนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว ซึ่งยืนหยัดปกป้องพื้นที่เป้าหมายคือปราสาทตาควาย และพยายามตีโต้กลับกำลังทหารฝ่ายตรงข้าม ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
กองทัพบกได้ปูนบำเหน็จเลื่อน 7 ชั้นยศและได้รับเงินบำนาญตามระเบียบสิทธิกำลังพลที่เสียชีวิตจากการรบ รวมถึงจะได้รับเงินช่วยเหลือตามระเบียบ เช่น เงินเยียวยาจากผู้ได้รับผลกระทบเหตุปะทะไทย-กัมพูชา เงินสินไหมทดแทนจากภัยสงคราม และการช่วยเหลือด้านอาชีพแก่บุคคลในครอบครัวตามความเหมาะสม
ในโอกาสนี้ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนรัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยจากการสู้รบจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ให้แก่ครอบครัว จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมกล่าวให้กำลังใจครอบครัวและขอบคุณในความเสียสละของจ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุดแก่วงศ์ตระกูล และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้