ศูนย์ข่าวศรีราชา – ผบช.ภ.2 เร่งคลี่คลายคดีกลุ่มคนร้ายอ้างเป็นตำรวจ อุ้ม- ปล้นทรัพย์ชาวจีนกว่า 2.3 แสนบาทกลางเมืองพัทยา กำชับ ตร.พื้นที่สอบทุกมิติคลี่ปมอุกอาจ ย้ำหากเป็นตำรวจจริงดำเนินคดี – ฟันวินัยขึ้นเด็ดขาด ขณะชาวจีนวอนตำรวจเร่งไล่ล่าโจร ด้าน ผกก.สภ.ยันแก๊งตำรวจเก๊
จากเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายอ้างตัวเป็นตำรวจก่อเหตุฉุดกระชากก่อนอุ้ม ตัวนายหลิน อี้ฟาน อายุ 52 ปี ชาวจีน ขึ้นรถเอสยูวี สีขาว จากบริเวณหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว - อาหารจีน ริมถนนพัทยาเหนือสาย 3 ม.6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และใช้อาวุธปืนจี้ จับมือไพล่หลังปล้นเอาทรัพย์สินทั้ง โทรศัพท์มือถือ และเงินสดจนหมดตัว
จากนั้นได้พาไปปล่อยทิ้งไว้ที่ริมถนนทางรถไฟ ย่านซอยชัยฤกษ์ 2 หน้าสนามยิงปืน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 9 กิโลเมตร เหตุเกิดเมื่อเวลา 05.00 น.วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันผู้เสียหายยังพบว่า เงินในบัญชีธนาคารประเทศจีนของตนเอง ยังถูกโอนออกจากแอพพลิเคชั่น อีกประมาณ 1.5 แสนบาท และเมื่อรวมทรัพย์สินและเงินสดในธนาคาร ที่ถูกคนร้ายปล้นชิงไปมีมูลค่าคิดเป็นเงินไทยกว่า 2.3 แสนบาท นั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ ( 11 ก.ค. ) พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้เชิญตัว นายหลิน อี้ฟาน ผู้เสียหายมาสอบปาก เพิ่มเติม โดยมีแฟนสาวชาวไทยทราบชื่อคือ น.ส. อ้อย อายุ 33 ปีเดินทางมาด้วย โดย นายหลิน ยังชี้ให้ดูร่องรอยบาดแผลที่ถูกกลุ่มคนร้ายทุบหลัง และจับหัวกดก้มหน้าหน้าก่อนจับมัดมือไพล่หลังปล้นเอาทรัพย์สิน
ส่วน น.ส.อ้อย ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า นายหลิน อี้ฟาน เข้าประเทศไทยมาในฐานะนักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางมาหาตัวเอง และเพิ่งมาประเทศไทยได้เพียง 1 เดือนหลังเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ปี และในคืนวันเกิดเหตุ นายหลิน ได้ออกไป ดื่มสังสรรค์ที่ผับแห่งหนึ่งใกล้กับร้านก๋วยเตี๋ยว-อาหารจีน และหลังจากออกจากผับได้นั่งกินข้าวกันต่อกับเพื่อน กระทั่งถูกกลุ่มคนร้ายขับรถมาปาดหน้า แล้วกระชากขึ้นรถไปก่อเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ นายหลิน ยืนยันว่า 1 ในผู้ก่อเหตุสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทย และ ภาษาจีน และขณะนี้ นายหลิน มีอาการเครียดมากและหวังว่า ตำรวจไทยช่วยจับตัวกุมคนร้ายได้ เนื่องจากอยากได้โทรศัพท์มือถือคืน เพราะมีต้องติดต่อเรื่องธุรกิจที่ประเทศจีน และยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหากับใครในประเทศไทย
ขณะที่ พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา เผยว่าขณะนี้ได้ ระดมนักสืบเพื่อเร่งแกะรอยกลุ่มคนร้ายในทุกมิติ ทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิด สอบปากคำพยาน และยืนยันว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ ที่เชื่อว่าหนึ่งในผู้ก่อเหตุอาจจะรู้จักกับผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตามมีรายงานเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้เร่งรัดให้เร่งรัดสืบสวนสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ที่สำคัญยังอ้างตัวเป็นตำรวจ ถือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้
ย้ำหากสุดท้ายตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข้าราชการตำรวจจริง ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ควบคู่กับการดำเนินการทางปกครองเอาผิดทางวินัยอย่างเฉียบขาด แต่หากไม่ใช่ตำรวจแล้วแอบอ้างทำให้เสื่อมเสียก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
“ การสืบสวนตรวจสอบต้องทำทุกมิติ ทั้งสอบปากคำชายชาวจีนอย่างละเอียดเพื่อหามูลเหตุ และสืบสวนประเด็นแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อคลี่คลายคดีโดยเร็ว ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นในตำรวจภูธรภาค 2 เราทำงานอย่างมืออาชีพ” ผบช.ภ.2 กล่าว