ศูนย์ข่าวศรีราชา - “นายกอิ๊งค์” เปิดประชุมหน่วยยามชายฝั่งอาเซียน ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์แต่ โดยมี 9 ชาติสมาชิกเข้าร่วม แต่ไร้เงาเจ้าหน้าที่จากกัมพูชา
เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (25 มิ.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวย การศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศรชล.) เป็นประธานเปิดการประชุมหน่วยยามฝั่งอาเซียน ปี พ.ศ.2568 (ASEAN Coast Guard Forum 2025 : ACF 2025) ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรมฮิลตัน พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) , พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ รองผู้อำนวยการ ศรชล. และ พลเรือเอก ไพโรจน์ เพื่องจันทร์ เสนาธิการ ทหารเรือ ฐานะเลขาธิการ ศรชล. ให้การต้อนรับ
และมีประเทศสมาชิกอาเขียน ส่งหน่วยงานยามฝั่งและ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล ตลอดจนผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วม ประกอบด้วย บรูไน , อินโดนิเซีย , สปป.ลาว , มาเลเซีย , เมียนมาร์ , พิลิปินส์ , สิงคโปร์ , เวียดนาม และ ติมอร์ เลสเต โดยมี UNODC เป็นผู้สนับสนุนหลักของจัดการประชุมฯ ส่วนกลุ่มสมาชิกที่ไม่เข้าร่วมประชุม คือประเทศกัมพูชา
ขณะที่ สาระสำคัญของการประชุม ACF 2025 คือการส่งเสริม ความปลอดภัย ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองทางทะเสในอาเซียน
ภายหลังเปิดการประชุม น.ส.แพทองธาร ยังได้นำคณะกลุ่มสมาชิก ร่วมรับชมการฝึกการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล (SAR) ซึ่งจัดขึ้นในกลางอ่าวพัทยา ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ไม่ได้ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ได้มีการสมมุติเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร เดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา - มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต หายไปจากจอเรดาร์ ก่อนจะพบว่าเครื่องบินโดยสารตกลงกลางทะเล ซึ่ง ศรชล. กองทัพเรือ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้ง กรมเจ้าท่า , ตำรวจน้ำ (CIB) , กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง , กรมการแพทย์ฉุกเฉิน , โรงพยาบาล , และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ระดมสรรพกำลัง เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที
ขณะที่ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานนะรองผู้อำนวยการ ศรชล. เผยว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นการร่วมกันสร้างเอกสารคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงานร่วม การฝึกซ้อมร่วม และช่องทางการสื่อสารเฉพาะระหว่างศูนย์ประสานงานการกู้ภัยทางทะเล เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งส่งเสริมการบูรณาการข้อมูลและการสื่อสารข้ามพรมแดน พัฒนาขีดความสามารถร่วมในด้านการกู้ภัยทางทะเล สร้างมาตรฐานสากลร่วมในด้านความปลอดภัยและการจัดการภัยพิบัติทางทะเล
อีกทั้งยังสนับสนุนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาคและเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศเพื่อการจัดการภัยที่ยั่งยืน ต่อไป