ลำปาง - สสจ.ลำปางเบรกอย่าเพิ่งแตกตื่น..ยันยังไม่ฟันธงหนุ่มลำปางติดแบคทีเรียกินเนื้อจนเสียชีวิตบนรถทัวร์-ขอรอผลตรวจชิ้นเนื้อก่อน ย้ำโรคเนื้อเน่ายังไม่เคยปรากฏที่ลำปาง แต่ให้ระวังหากเกิดบาดแผลต้องรีบรักษาอย่าปล่อยลุกลาม หรือพบสัตว์ตายเป็นกลุ่มก้อนให้รีบแจ้ง
กรณีพบหนุ่มวัย 38 ปี ชาวลำปาง เสียชีวิตบนรถทัวร์สายนครราชสีมา-เชียงใหม่ ขณะเข้ามาจอดในชานชาลาสถานีขนส่งลำปาง เมื่อเช้ามืดวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา สภาพผู้เสียชีวิตขาบวมและมีเลือดไหล และต่อมาได้มีการนำส่งชันสูตร เบื้องต้นทาง รพ.ระบุว่าสาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด และระบุว่าเป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อ หรือโรคเนื้อเน่า นั้น
ล่าสุดวันนี้ (17 มิ.ย.) นายแพทย์ สุวรรณ เพ็ชรรุ่ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำปาง เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า จากการตรวจบาดแผลภายนอกของผู้เสียชีวิตยังคงไม่เหมือนกับโรคแบคทีเรียกินเนื้อ 100% เพราะหากเป็นโรคดังกล่าว บริเวณแผลจะเห็นเป็นคล้ายสะเก็ดเนื้อตายตรงกลางเป็นสีดำหรือคล้ำและลึก มีลักษณะคล้ายรอยบุ๋มตรงกลาง แต่เคสนี้ไม่มี ซึ่งอาจจะได้รับเชื้อตัวอื่นก็เป็นไปได้
ซึ่ง ณ ขณะนี้ไม่อยากให้ชาวลำปางกังวล ขอให้รอผลตรวจชิ้นเนื้อที่ส่งไปเพาะเชื้อประมาณ 3-7 วัน แต่ด้วยความห่วงใยขณะนี้ได้มีการหาเชื้อทุกเชื้อที่เป็นไปได้
ปกติโรคแบคทีเรียกินเนื้อจะไม่ติดต่อคนสู่คน จะมาจากแหล่งอื่น เช่นมาจากสัตว์ สูดดมสปอร์ กินอาหารที่มีเชื้อ หรือมีสัตว์ตายเป็นกลุ่มก้อน ส่วนผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วไปเช่นสุนัข แมว ก็นำไปฉีดวัคซีน ก็แค่เฝ้าระวังไม่ให้ถูก หรือหากพบว่าพื้นที่ไหนมีสัตว์ตายเป็นกลุ่มก้อนก็ขอให้แจ้ง จนท.เข้าไปสอบสวนโรค
“อาการผู้ที่ติดโรคแบคทีเรียกินเนื้อ คือ ระบบทางเดินหายใจ ก็อาจจะเป็นหวัดธรรมดา อาจจะมีไข้แต่อาจจะมีอาการแน่นผิดปกติรวดเร็วเช่นเหนื่อยหอบ ระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง คลื่นใส้ ท้องเสีย ทางผิวหนังก็อาจจะเป็นผื่น ตุ่มใส และมีแผลตรงกลางจะเป็นสีดำบุ๋ม แต่ตอนนี้ยังไม่เกิดในลำปาง”
สสจ.ลำปางย้ำด้วยว่า แพทย์ได้สรุปสาเหตุการเสียชีวิตคือมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) และภาวะเนื้อเน่า (Necrotizing Fasciitis) และยังไม่มีข้อมูลสรุปว่าเป็น “โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน” ซึ่งภาวะเนื้อเน่า (Necrotizing Fasciitis) อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด เช่น เชื้อสเตปโตค็อกคัส กลุ่มเอ และเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
โดยเชื้อเหล่านี้อาจผ่านเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผลได้ การติดเชื้อดังกล่าวอาจจะมีอาการบวมแดงปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ หากมีการลุกลามผิวหนังอาจจะเปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำภายใน 36 ชั่วโมง อาจมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนังและลุกลามเข้าสู่ผิวหนังและกล้ามเนื้อข้างใต้ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เช่นให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือระบายหนองหรือตัดเนื้อเยื่อที่ตายออก อาจจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด และอาการอาจจะลุกลามทำให้ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตได้
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะพบโรคนี้ได้แก่บุคคลที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคผิวหนังหรือมีภูมิต้านทานต่ำจากการใช้สารสเตียรอยด์ มะเร็ง โรคไต ตับแข็ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก แต่ให้ตระหนักในอาการที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ผิวหนังมีแผลและมีอาการบวม เป็นไข้ปวดมากขึ้นหรือมีอาการลุกลามควรพบแพทย์ในหน่วยบริการใกล้บ้านเพื่อจะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ทั้งนี้ หากพบว่าเป็นเชื้อที่รุนแรงจริงๆ เช่น แอนแทรกซ์ (ANTHRAX) ก็อาจจะต้องระมัดระวังเรื่องสัตว์เลี้ยงที่สามารถแพร่เชื้อมาสู่คนได้ ส่วนการชันสูตรขอรอผลตรวจการเพาะเชื้อให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นเชื้ออะไร แต่เบื้องต้นไม่อยากให้กังวลจนเกินไป เพราะเท่าที่ดูบาดแผลอาจจะเป็นเชื้ออื่นที่เป็นไปได้มากกว่า เพราะมีการติดเชื้อบริเวณกล้ามเนื้อชั้นในและทำให้เนื้อตาย ซึ่งลักษณะนี้ก็เจอกันบ่อย ในช่วง 2-3 ปี ในลำปางก็มีผู้ป่วยระดับหลักหน่วยถึงหลักสิบ ในลักษณะที่เป็นแล้วรักษาช้า หรือปล่อยให้เชื้อเข้ากระแสเลือดไปแล้ว หากมาก่อนการรักษาด้วยยาร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อที่ตายออก เอาอยู่ 90% แต่หากมาช้าเกินไปเชื้อเข้ากระแสเลือดไปแล้วก็ทำให้เสียชีวิตได้
ส่วนของจังหวัดลำปางในช่วงที่ผ่านมายังไม่เจอผู้ป่วยเป็นโรคแบคทีเรียกินเนื้อ แต่ก็จะเจอผู้ป่วยที่ติดเชื้อทั่วไปหรือเชื้อที่ติดได้ตามผิวหนัง เช่น ไปเหยียบตะปู หรือ เกิดแผล แล้วไม่รักษาจนติดเชื้อแล้วเสียชีวิต เหล่านี้พบประจำ ในปี 2567 มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อทางผิวหนัง ผู้ป่วยนอก 2 ราย ผู้ป่วยใน 13 ราย ซึ่งก็เจอได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีโรคแทรกซ้อนเช่นเบาหวาน ภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้สูงอายุ ฯลฯ