xs
xsm
sm
md
lg

ครอบครัวสายตรง "ปู่แสะย่าแสะ" แจงกรณีดรามาพิธีเลี้ยงดงปีนี้ ยันร่างทรงของแท้-ไม่มีแสวงหาประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - ครอบครัวร่างทรงสายตรง "ปู่แสะย่าแสะ" แจงดรามาพิธีเลี้ยงดงประจำปี 2568 ที่สืบทอดนานกว่า 200 ปี หลังกลายเป็นประเด็นสังคมตั้งข้อสงสัยหลายเรื่องเกี่ยวกับการจัดงานปีนี้ โดยเฉพาะร่างทรง ยืนยันปู่แสะเลือกเอง ย้ำทำถูกต้องทุกอย่างตามความเชื่อดั้งเดิม และไม่มีเจตนาแสวงหาผลประโยชน์


จากกรณีกระแสดรามาที่เกิดขึ้นในพิธีเลี้ยงดงปู่แสะ-ย่าแสะ ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 68 ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ตำบลแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์และในชุมชน หลังปรากฏภาพร่างทรงหญิงรายหนึ่งแสดงพฤติกรรมที่หลายคนมองว่าไม่เหมาะสม เช่น ยิ้มให้กล้อง กดโทรศัพท์มือถือ และพูดถึงแอปพลิเคชันซื้อของออนไลน์ รวมไปถึงการที่องค์จะลงก่อนเริ่มทำพิธี ล่าสุดครอบครัวสายตรงของร่างทรงปู่แสะ-ย่าแสะ ได้เปิดใจชี้แจงว่าหญิงคนดังกล่าวชื่อ “หงส์” ไม่ได้เป็นม้าทรงมาก่อน แต่เกิดอาการองค์ลงเมื่อไปไหว้ศาลปู่แสะหลังถูกรางวัลจากเลขเด็ดที่เชื่อว่ามาจากเลขปู่แสะ

โดยทำให้แม่และอาจารย์ที่ดูแลซึ่งเป็นสายของร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม ต้องพาเธอไปตามหาครอบครัวของปู่แสะ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไปที่อำเภอฝาง และหลายที่กระทั่งมาพบกันเพียง 3 วันก่อนงานจริง และองค์ปู่แสะได้เลือกหงส์เป็นร่างทรงด้วยตนเองตามความเชื่อ เพราะถ้าปู่แสะเลือกใครแล้วไม่ให้ลง ก็อาจมีอันเป็นไป เหมือนในอดีต ในส่วนของเครื่องเซ่น และพิธีโบราณ ปีนี้ครอบครัวทำตามแบบโบราณที่เคยสืบทอดมา โดยระบุว่าสิ่งที่เทศบาลเคยจัดในอดีต มีการเสริมพิธีเข้าไปหลายส่วน แต่บางส่วนก็หายไป ปีนี้ ปู่แสะมาลงและสั่งให้เติมเครื่องเซ่นไหว้บางอย่าง เช่น ขัน 12 จึงเป็นที่มาของการที่ปู่เรียกเทศบาลเข้ามาคุยในวันงาน เพราะต้องการให้ตรงตามเดิม


ทั้งนี้ ทางครอบครัวยืนยันว่าพฤติกรรมของหงส์ในวันพิธีนั้นเป็นอาการจริง ไม่ได้เสแสร้ง โดยเฉพาะการเดินตามจุดต่างๆ และนอนบนหลังควาย ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปู่แสะดูพอใจและมีความสุขมาก ขณะที่เหตุการณ์ที่พ่อหนานเดินทางกลับกลางงาน ไม่ใช่เพราะไม่พอใจ แต่ได้สวดเสร็จแล้วโดยไม่เปิดไมโครโฟน และด้วยความที่พ่อหนานมีอายุมากกว่า 90 ปีแล้วจึงเป็นห่วงสุขภาพ การที่เปลี่ยนจากเทศบาลเป็นทีมครอบครัวทายาทในปีนี้ เกิดจากมีการเปลี่ยนร่างม่า เป็นทีมที่สรรหามาใหม่ จึงมีการให้ต้นตระกูลเข้ามาดู ซึ่งคนที่โดนผีเข้าจะไม่รู้ตัว สามารถเป็นตัวเองและไม่ใช่ตัวเองในเวลาเดียวกัน เป็นอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงมีการพูดคุยในเรื่องโซเชียลขึ้นมา มีการกดโทรศัพท์อย่างที่เห็น แต่หงส์ไม่ได้รู้ตัว

ขณะเดียวกัน นางอุบลรัตน์ ใจใหญ่ ผู้เป็นแม่ และนายศุภโชค ฮาลบิเซน ลูกชาย ซึ่งเป็นทายาทโดยสายเลือดของตระกูลปู่แสะย่าแสะที่สืบทอดมาหลายร้อยปี เผยว่า พิธีนี้เป็นความเชื่อโบราณเกี่ยวกับผีและยักษ์ แตกต่างจากพิธีที่เทศบาลเคยจัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่เน้นการบวงสรวงเทวดา และแม้ครอบครัวจะเคยคิดหยุดสืบทอด แต่ก็มีสิ่งเร้นลับเกิดขึ้นจนไม่อาจละเลยได้ พร้อมย้ำว่าหวังเพียงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองท้องถิ่น พิธีดั้งเดิมคือการแห่ผ้าบฏจากวัดเข้าไปในดง ถวายเครื่องเซ่นไหว้ กิน ก็จบ ใช้เวลาไม่นาน 2-3 ชั่วโมง แต่ต่อมาระยะหลังมีการเสริมพิธีต่างๆ เข้ามาทำให้แตกต่างจากเดิม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอนุรักษ์ประเพณีเดิมๆ ไว้


ด้านเทศบาลเมืองแม่เหียะ โดยกริณย์พล ไชยยาพิบูล นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ ได้ออกมาชี้แจงผ่านสื่อมวลชน โดยยืนยันว่าเทศบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดหาร่างทรงแต่อย่างใด ตามความเชื่อท้องถิ่นนั้น ร่างทรงจะถูก “ปู่แสะ-ย่าแสะ” เลือกเอง หรือที่เรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “ไปเหยียบเอง” ส่วนเรื่องเครื่องบวงสรวง เป็นความรับผิดชอบของสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ โดยร่วมกับทายาทของผู้ที่เคยจัดพิธีในอดีต ส่วนควายที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ก็จัดหาโดยผู้มีประสบการณ์เดิมที่ทำทุกปี สำหรับงบประมาณในการจัดงานทั้งหมด มาจากเงินบริจาคผ่านตู้บริจาคที่ตั้งไว้ในพื้นที่งานและเชิงวัดดอยคำ ไม่ได้ใช้งบของเทศบาล เนื่องจากขัดต่อระเบียบราชการ เทศบาลมีหน้าที่เพียงจัดเตรียมสถานที่ ประชาสัมพันธ์งาน และสนับสนุนในด้านกำลังคนและอุปกรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้มีอำนาจจัดการเนื้อหาของพิธีกรรมโดยตรง

ส่วนกรณีในคลิปที่มีร่างทรงแสดงความไม่พอใจเรื่องเครื่องเซ่น เทศบาลไม่ได้ถูกตำหนิแต่อย่างใด แต่เป็นการตำหนิไปยังประธานสภาวัฒนธรรม ซึ่งเคยมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ก่อนหน้าแล้ว ในประเด็นที่บางฝ่ายเชื่อมโยงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองท้องถิ่น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และผู้บริหารชุดปัจจุบันกับชุดเก่าไม่ได้มีปัญหาใดๆ กัน พร้อมย้ำว่าการจัดพิธีกรรมนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่สามารถตัดสินได้ว่า “การทรง” จะจริงหรือไม่จริง สำหรับปีถัดไป เทศบาลมีแผนจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อวางแผนจัดพิธีให้รัดกุมและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากพิธีกรรมปู่แสะ-ย่าแสะจะเกิดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น และต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้สมกับเป็นมรดกวัฒนธรรมของชุมชนแม่เหียะ










กำลังโหลดความคิดเห็น