กาญจนบุรี - นายกรัฐมนตรี" ตรวจเยี่ยม 2 โครงการน้ำบาดาลแก้ภัยแล้ง จ.กาญจนบุรี ย้ำพร้อมจัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นและทั่วถึง โดยกำชับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต้องสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างแท้จริง
วันนี้ ( 9 มิ.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเยี่ยมชมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ระยะที่ 1) แห่งที่ 1 ที่บ้านปากชัดหนองบัว ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี จากนั้นเวลา 12.00 น.ออกเดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ระยะที่ 2) แห่งที่ 2 ที่บริเวณบ้านหนองบัวหิ่ง หมู่ 4 ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี
โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะร่วมเดินทาง
มีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เขต 4 อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล นายชูศักดิ์ แม้นทิม สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เขต 2 นายพนม โพธิ์แก้ว สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เขต 5 นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ว่าที่ ร.ต. ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ นายสิทธิวีร์ วรรณพฤกษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายแพทย์ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ นายก อบจ.กาญจนบุรี นางสาวชลธิชา วงษ์อุตสาห์ นายอำเภอเลาขวัญ นางสาวเบญจวรรณ ฟักแก้ว นายอำเภอห้วยกระเจา นายทนงศักดิ์ ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 (สุพรรณบุรี) รวมทั้งผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนทั้ง 2 ตำบลเป็นจำนวนมาก ให้การต้อนรับ
นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รายงานปัญหาภัยแล้งและการจัดการน้ำในพื้นที่ จากนั้นนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ และพบปะประชาชนในพื้นที่ที่มารอต้อนรับ รวมถึงมอบถังบรรจุน้ำ 20 ลิตรให้กับประชาชนที่มารอต้อนรับผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี
สำหรับโครงการด้านการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นต้นแบบที่ดีในการผลิตน้ำประปาบาดาลระยะไกล สามารถส่งน้ำบาดาลในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งคุณภาพและปริมาณไปให้บริการในพื้นที่ขาดแคลนน้ำของประชาชน ได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า บ้านปากชัดหนองบัว หมู่ที่ 2 ต.หนองฝ้าย อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี เดิมประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมาเป็นเวลาหลายสิบปี เป็น 1 ใน 5 อำเภอ ของจังหวัดกาญจนบุรี (อำเภอบ่อพลอย อำเภอห้วยกระเจา อำเภอเลาขวัญ อำเภอหนองปรือ และ อำเภอพนมทวน) ที่ได้ชื่อว่าเป็น “อีสานภาคกลาง” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เงาฝน คลองธรรมชาติจะมีน้ำเฉพาะในช่วงฤดูฝน ไม่มีระบบชลประทาน ในช่วงฤดูแล้ง
หลายหมู บ้านในพื้นที่ ตำบลหนองฝ้ายประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรงต่อเนื่องปีละไม่น้อยกว่า 8 เดือน ชาวบ้านต้องว่าจ้างรถบรรทุกน้ำ 1,000 - 2,000 ลิตร เที่ยวละ 150 - 200 บาท คิดเป็นรายจ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือน ไม่น้อยกว่า 2,000 บาทต่อเดือน หรือเป็นรายจ่ายในช่วงฤดูแล้งกว่า 4 ล้านบาทต่อหมู่บ้าน
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ จัดหาแหล่งน้ำบาดาลสำหรับการอุปโภคบริโภค และการเกษตร ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยสำรวจพบน้ำบาดาลในพื้นที่แอ่งหนองฝ้าย มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเขื่อนเจ้าพระยา ปริมาณน้ำกักเก็บมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำเติมรายปีประมาณ 7.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และได้นำน้ำบาดาลมาใช้ในโครงการฯนี้้ เพียง 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือประมาณร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำเติมรายปี
จึงนับเป็นโครงการต้นแบบการบริหารจัดการระบบประปาขนาดใหญ่ และระบบส่งน้ำที่มีประสิทธิภาพ โดยรูปแบบโครงการประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาล จำนวน 8 บ่อ ความลึกเฉลี่ย 200 เมตร ถังเก็บน้ำความจุ 2,000 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 ถัง หอถังเก็บน้ำความจุ 300 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 ถัง วางท่อกระจายน้ำในพื้นที่รอบโครงการ รวมระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ประชาชนได้รับประโยชน์ 1,856 ครัวเรือน 5,786 คน ปัจจุบันท้องถิ่นและ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้บริหารจัดการระบบ
ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองฝ้าย วางระบบท่อกระจายน้ำระยะทาง 7.8 กิโลเมตร เชื่อมต่อกับระบบประปาที่มีอยู่เดิม เพื่อส่งน้ำให้แก่ประชาชน จำนวน 5 หมู่บ้าน และจังหวัดกาญจนบุรี ต่อยอดระบบกระจายน้ำ โดยวางท่อเพิ่มเติมอีก 10.1 กิโลเมตร รวมระยะทางท่อส่งน้ำทั้งโครงการ 23.3 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองฝ้าย ได้รับประโยชน์ รวม 2,767 ครัวเรือน 9,538 คน และพื้นที่บางส่วนของตำบลหนองโสน มีน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค และลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนจากการซื้อน้ำ
ในส่วนของอำเภอห้วยกระเจา โดยเฉพาะในตำบลสระลงเรือ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น “อีสานภาคกลาง”อีกพื้นที่หนึ่ง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขาและเป็นพื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน (Rain shadow) ปริมาณฝนตกเฉลี่ยเพียง 59 วันต่อปี ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน ไม่มีระบบชลประทาน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภคบริโภค และน้ำสำหรับการเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง ทำให้มีความจำเป็นต้องพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหา การขาดแคลนน้ำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนยามเกิดสภาวะภัยพิบัติ และสนองพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน “โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้ทำการสำรวจความเหมาะสมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพน้ำบาดาล เพื่อให้ทราบถึงศักยภาพน้ำบาดาลที่เหมาะสมสำหรับการวางแผนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล
พบว่าพื้นที่่มีศักยภาพน้ำบาดาลสูง โดยเจาะน้ำบาดาลเพื่อเป็นบ่อผลิต จำนวน 6 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้มากกว่า 180 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 1.05 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมทั้งก่อสร้างระบบประปาบาดาลขนาดใหญ่ สามารถส่งน้ำให้กับประชาชนได้ทั่วถึง เพียงพอ และสามารถรับบริการน้ำดื่มฟรีที่อาคารศูนย์เรียนรู้ด้านน้ำบาดาลและจุดบริการน้ำแร่ โดยต่อเชื่อมท่อเมนไปยังประปาชุมชน รวมระยะทาง 37.6 กิโลเมตร มีผู้ได้รับประโยชน์ 15 หมู่บ้าน มากกว่า 3,000 ครัวเรือนหรือ 10,000 คน โดยเทศบาลตำบลสระลงเรือ เป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการระบบประปาบาดาลเป็นหลัก ปัจจุบัน สามารถส่งน้ำให้กับประชาชน รวมแล้ว 785,611 ลูกบาศก์เมตร
สำหรับปัญหาอุปสรรคนั้น แม้ว่าระบบสูบน้ำบาดาลของระบบประปาบาดาลขนาดใหญ่ จะมีการใช้ไฟฟ้า (4 บ่อ) ร่วมกับระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (2 บ่อ) แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าต่อเดือนค่อนข้างสูง ปัจจุบัน เทศบาลตำบลสระลงเรือเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการระบบประปาบาดาล โดยมีค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเดือนละ 80,000 บาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาระบบประปาบาดาลเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือนประมาณ 100,000 บาท แต่สามารถเก็บค่าใช้น้ำเฉลี่ยต่อเดือน 130,000 บาท
ระบบประปาบาดาลขนาดใหญ่ ประกอบด้วยบ่อผลิต จำนวน 6 บ่อ เมื่อมีการสูบน้ำบาดาลอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันทั้ง 6 บ่อ โดยไม่มีการสลับสูบ-หยุดพัก อาจเสี่ยงต่อการลดลงของระดับน้ำบาดาล และเสียสมดุลน้ำบาดาล หรือหากมีการขยายชุมชนที่ใหญ่มากขึ้นในอนาคต ปริมาณน้ำบาดาลอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ
โดยข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอุปสรรค การพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานจากรัฐบาล กรมทรัพยากรน้ำบาดาล มีความประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาบาดาลขนาดใหญ่ โดยการเพิ่มระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 4 ชุด สำหรับใช้กับระบบสูบน้ำบาดาล จำนวน 4 บ่อ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยเลือกใช้แหล่งพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เจาะน้ำบาดาลเพิ่มเติม เป็นบ่อสำรองและบ่อสังเกตการณ์ สำหรับรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต หากมีการขยายตัวของชุมชนมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ และอนุรักษ์น้ำบาดาลอย่างยั่งยืน
อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกล่าวต่อไปว่า นอกจากโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว ที่ผ่านมากรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ดำเนินโครงการ ด้านการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เช่น โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชน ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 - ปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น 818 แห่ง ประชาชนได้รับประโยชน์ 163,600 ครัวเรือน รวมปริมาณน้ำบาดาลที่พัฒนาได้ 71.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร (ขนาดใหญ่) ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 - ปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น 616 แห่ง ประชาชนได้รับประโยชน์ 8,968 ครัวเรือน รวมปริมาณน้ำบาดาลที่พัฒนาได้ 90.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีพื้นที่ได้รับประโยชน์รวม 256,508 ไร่
ส่วนแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลเร่งให้การสนับสนุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้รับงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ด้านน้ำ)