ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- สุดทึ่ง!อดีตทหารลาออกจากราชการในวัย 45 ปี หันมาทำเกษตรพลิกผืนนา 5 ไร่ เป็นสวนผสม สร้างรายได้มั่นคงและยั่งยืนเดือนละกว่า 2 หมื่น ร่ำรวยความสุขได้อยู่กับสิ่งที่รักและได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝัน จากชาวบ้านมองว่าบ้าทิ้งงานราชการมาไถดินปลูกต้นไม้ ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรผสมผสานของชุมชนที่เปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้
วันนี้ (23 พ.ค.68) ที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ที่ 18 ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา มีพื้นที่เกษตรเพียง 5 ไร่ ที่ดูภายนอกอาจเหมือนสวนเล็กธรรมดา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นต้นแบบของระบบเกษตรผสมผสาน ที่เปี่ยมด้วยองค์ความรู้ และเป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีชีวิตของคนทั้งชุมชน ผืนดินแห่งนี้ดูแลโดยชายวัย 75 ปี ผู้เปลี่ยนชีวิตจากการเป็นข้าราชการทหาร ในหน่วยข่าวกรอง มาเป็นเกษตรกรเต็มตัว ผู้ที่คนในพื้นที่เรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า “ลุงต้อย”
จากชีวิตที่เคยรับราชการในเมืองหลวง สู่การใช้ชีวิตเรียบง่ายในชนบท ลุงต้อย หรือ นายสำรวม งามสุวรรณ ได้พิสูจน์แล้วว่า การเกษตรสามารถเลี้ยงชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน หากรู้จักวางแผน และทำด้วยใจรัก
นายสำรวม งามสุวรรณ กล่าวว่า การทำสวนของตนเองเริ่มต้นหลังจากที่ลาออกจากราชการในวัย 45 ปี ตอนนั้นทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นทหารในหน่วยข่าวกรองพิเศษ ทำมา 22 ปีเต็ม แล้ววันหนึ่งก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เห็นแต่หนี้ เห็นแต่ความเหนื่อยล้า ชีวิตวนอยู่กับความเครียดและการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง มองไม่เห็นทางเลยตัดสินใจกลับอยู่บ้านภรรยาที่จังหวัดนครราชสีมา มาลองทำเกษตรดู ตอนนั้นคนในหมู่บ้านต่างมองว่า บ้า ทิ้งงานมั่นคงมาไถดินปลูกต้นไม้ แต่ก็ไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น เพราะรู้ดีว่าชีวิตแบบเดิมไม่มีความสุขอีกต่อไป
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ก็เริ่มขุดสระน้ำล้อมพื้นที่ไว้เลย ตั้งใจจะเปลี่ยนจากที่นาธรรมดาให้เป็นสวนผสมแบบเต็มรูปแบบ ใช้หลักคิดจากสิ่งที่เคยอ่านและศึกษาเอง คิดไว้เลยว่าจะปลูกพืชให้หลากหลาย สลับกันระหว่างพืชที่ให้ผลผลิตเร็วกับพืชที่ต้องใช้เวลา อย่างมะขามเทศแค่ 6 เดือนก็เก็บได้แล้ว ส่วนมะพร้าวก็รอ 3–4 ปี แต่พอถึงเวลาก็ทยอยออกผลให้เก็บได้ตลอดทั้งปี
พื้นที่สวนทั้งหมด 5 ไร่ ปลูกพืชไว้กว่า 30 ชนิด ทั้งมะพร้าว มะนาว ผักหวานป่า น้อยหน่า มะม่วง กาแฟอาราบิก้า ฝรั่งเวียดนาม มะขามเทศพันธุ์กำไลทอง รวมถึงพืชหายากอย่างมะม่วงยายก่ำ ที่เคยเป็นของโปรดในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งตนเองตั้งใจอนุรักษ์ไว้ในสวนแห่งนี้ด้วย
ผืนดินตรงนี้เมื่อก่อนจัดว่าแย่มาก ดินเปรี้ยว ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น จึงเริ่มจากการใช้ใบมะขามเทศมาคลุมดิน ใบไม้นี้มีไนโตรเจนสูง พอใส่ต่อเนื่องก็ทำให้ดินเริ่มร่วนซุย จากนั้นก็ผสมปุ๋ยเอง ใช้ขี้หมู ขี้วัว แกลบดำ ใส่หัวเชื้อจุลินทรีย์และน้ำ EM เพื่อดับกลิ่น ปลูกอะไรก็งาม นอกจากนี้ยังผลิตน้ำส้มควันไม้ไว้ฉีดแทนสารเคมี ทำให้สวนนี้ไม่ใช้ยาเลยแม้แต่นิดเดียว
ทำเกษตรถ้าจะให้รอด ต้องรู้ต้นทุน รู้รายรับรายจ่าย จึงต้องทำบัญชีอยู่ตลอด จะได้ควบคุมการใช้จ่าย และวางแผนต่อยอดได้ถูก การตลาดก็ไม่ได้นั่งรอให้ใครมาหา แต่เลือกที่จะ “วิ่งชนผู้บริโภค” อย่างมะพร้าวเผาก็เอาไปวางขายเองตามร้านอาหาร ขายหมดเป็นร้อยลูกในเวลาไม่กี่สิบนาที นอกจากผลผลิต ยังมีกิ่งพันธุ์ขาย เช่น มะม่วงยายก่ำ หรือมะพร้าวพันธุ์ดีที่หายาก ตนเองขยายพันธุ์ไว้แจกหรือขายให้เกษตรกรที่สนใจ
นายสำรวม กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสวนแห่งนี้มีรายได้เข้ามาทุกเดือน เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท รายได้มาจากผลผลิตหลากหลายชนิดที่หมุนเวียนเก็บได้ทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นมะขามเทศ ผักหวาน หน่อไม้ น้ำส้มควันไม้ มะม่วง มะนาว มะพร้าว ไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมถึงไม้แปลก ไม้ประดับต่างๆ แต่รายได้หลักจริงๆ ตลอดทั้งปี คือการจำหน่ายกิ่งตอนไม้ เช่น มะขามเทศ ฝรั่ง เลม่อนด่าง และมะนาวไร้เมล็ด ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
การใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เคยทำให้รู้สึกเหนื่อย กลับกันยิ่งรู้สึกสดชื่นกว่าเดิม ทุกวัน ตื่นเช้ามาได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เดินดูต้นไม้ ดูปลาในคลอง คุยกับไก่ คุยกับเป็ด ทุกอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ปลาในสวนกลายเป็นเพื่อน บางตัวอยู่มานานจนจำเสียงได้ เวลาเรียกก็ว่ายมาหา คนอื่นมาให้อาหารกลับไม่กิน เพราะมันจำได้ว่าเสียงใครคือเจ้าของที่แท้จริง
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา มีทั้งความยากลำบากและความสุขปะปนกันไป แต่สิ่งที่ทำให้ภูมิใจที่สุดคือการได้เป็นแบบอย่างให้เกษตรกรรุ่นใหม่ มีนักศึกษาหลายคนมาขอดูงาน มาศึกษาแนวทาง แล้วกลับไปทำของตัวเองจนประสบความสำเร็จ หลายคนกลับมาขอบคุณ ตนเองก็ยินดี เพราะเชื่อว่าความรู้ที่ดีต้องถูกแบ่งปัน ไม่ใช่เก็บไว้คนเดียว
เกษตรกรที่ดีต้องมีวินัย ใจเย็น และไม่ท้อ อย่ารอเกษียณ เพราะถ้ารอวันนั้น ร่างกายอาจไม่ไหวแล้ว เริ่มต้นวันนี้ดีกว่า และอย่ากลัวว่าพื้นที่น้อยจะทำไม่ได้ พื้นที่น้อยทำได้ แค่ต้องใช้ความคิด ใช้สิ่งที่มีให้คุ้มค่า ตนเองปลูกมะนาวในกระถางปูนเก่าก็ได้ผลดีมาก บังคับน้ำ บังคับปุ๋ยได้ง่าย ดอกดก ลูกดก ไม่แพ้แปลงใหญ่เลย
“วันนี้ผมอาจไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่ก็ร่ำรวยความสุข ร่ำรวยเพื่อน ร่ำรวยธรรมชาติ และร่ำรวยใจ ที่ได้อยู่กับสิ่งที่รัก และได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝันไว้” นายสำรวม กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาดูงานหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อนายสำรวม งามสุวรรณ (ลุงต้อย) ได้ที่บ้านเลขที่ 12 หมู่ที่ 18 ตำบลตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา 30150 โทรศัพท์ 086-0334456