ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- สุดทึ่ง “แม่สุธี” วัย 65 ปีเกษตรกรชาวเสิงสาง โคราช ผู้พลิกชีวิตด้วยกล้วยหอมทอง จากยายเลี้ยงหลาน สู่เจ้าของสวนกล้วยเงินล้าน สร้างรายได้ให้กับครอบครัวปีละหลายล้าน พร้อมเปิดรีบซื้อผลผลิตมีลูกสวนเครือข่ายปลูกกล้วยหอมรวมกว่า 100 ไร่ ส่งขายตลาดใหญ่ทั้งภาคอีสาน เหนือ และ กรุงเทพฯ รวมทั้งโมเดิร์นเทรด เผยช่วงเทศกาลผลผลิต 100 ตันไม่พอขาย
วันนี้ ( 1 พ.ค.68 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 25 หมู่บ้านพูนทรัพย์พัฒนา หมู่ที่ 1 ตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา คนงาน “สวนกล้วยแม่สุธี” ต่างเร่งตัดหวีกล้วย นำมาล้าง ชั่งน้ำหนัก คัดกล้วย และห่อถุง เพื่อเตรียมนำขึ้นรถส่งให้กับลูกค้าตามออเดอร์ที่สั่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ ทางสวนมีออเดอร์จากตลาดไท มากกว่า 7 ตัน ซึ่งกิจกรรมคัดกล้วยเช่นนี้ จะมีให้เห็นทุกวันที่บ้านของแม่สุธี วงจันทร์ หญิงแกร่งวัย 65 ปี ที่เคยพบกับเรื่องราวของการล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิต จนครั้งหนึ่งต้องวางมือจากอาชีพเกษตรกรรมด้วยหัวใจที่หมดหวัง และกลับมายืนหยัดอีกครั้งในวันที่ใครๆ คิดว่าชีวิตคงไปไม่ไกลกว่านี้
“แม่สุธี วงจันทร์” คือชื่อที่ชาวบ้านพูนทรัพย์พัฒนา ตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง รู้จักกันดี เพราะเป็นหญิงแกร่งวัย 65 ปี ที่เริ่มต้นจากศูนย์ สู่เจ้าของสวนกล้วยหอมทอง ส่งห้างโมเดิร์นเทรดระดับประเทศ สร้างรายได้ให้ครอบครัวอย่างมั่นคง ปีละหลายล้านบาท ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยหมดหวังถึงขั้นเลิกปลูกทุกอย่าง แล้วหันมาเลี้ยงหลานเพื่อเยียวยาหัวใจ
นางสุธี วงจันทร์ เล่าว่า เมื่อก่อนตนทำการเกษตรอยู่แล้ว ปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก และปลูกข้าวโพด หน่อไม้ฝรั่งบ้าง เรียกว่าปลูกมาหลายอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่หวัง บางอย่างก็มีปัญหาเรื่องตลาด ราคาตกต่ำ ทำให้เหนื่อยใจ สุดท้ายก็ยอมทิ้งสวนทิ้งไร่ วางมือจากการเกษตรไปเลยพักหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองล้มเหลว ทำอะไรก็ไม่ขึ้น
ในช่วงที่หยุดทำไร่ทำสวน ก็ไปช่วยลูกสาวเลี้ยงลูก อยู่บ้านเลี้ยงหลาน ประมาณ 3 ปี รู้สึกว่าเป็นช่วงชีวิตที่สงบ แต่ลึกๆ ก็ยังคิดถึงสวน คิดถึงการลงมือทำอะไรได้ใช้แรงงานของตัวเอง จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พี่น้องที่ปลูกกล้วยมาก่อน ก็ชวนให้ลองกลับมาทำอีกครั้ง บอกว่า ตลาดกล้วยหอมทองกำลังไปได้ดี ลองดูไหม ตนก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลองทำ เพราะคิดว่าอยู่บ้านเฉยๆ คงไม่มีอะไรดีขึ้น ลองกลับมาทำอีกสักครั้ง ถ้าไม่สำเร็จก็คงไม่เสียดายอะไรแล้ว
ตอนเริ่มต้นปลูกกล้วย ตนไม่รู้เลยว่าจะไปขายที่ไหน จะมีใครมารับซื้อหรือเปล่า ตอนแรกก็ใช้วิธีแบบที่พ่อค้าคนกลางมาเหมาซื้อ แต่เจอปัญหาเยอะมาก เช่น โดนกดราคา หรือบางครั้งก็มาหลอกว่าจะซื้อ แต่สุดท้ายไม่มาเอา ตนเองรู้สึกท้อ แต่ไม่อยากเลิกแล้ว เพราะลงทุนไปเยอะ เลยคิดหาทางใหม่
ตอนนั้นไปปรึกษาลูกสาว ลูกสาวให้ช่วยโพสต์ขายกล้วยทางออนไลน์ เริ่มจากราคาถูกๆ เพื่อให้มีคนมารับถึงสวน ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เรียกว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ทำให้ได้ลูกค้าประจำมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนที่มารับซื้อก็ชอบ เพราะตนจะเน้นคุณภาพ คัดขนาด คัดไซส์ ตามที่ลูกค้าสั่งทุกอย่าง ซึ่งการปลูกกล้วยหอมทองใช้เวลานานกว่าจะได้เก็บผลผลิต ต้องใช้เวลาเกือบ 10 เดือนถึงจะตัดได้ และจะตัดได้แค่ประมาณ 2 เดือนก็หมดรุ่น ต้องเริ่มปลูกรุ่นใหม่ แต่ตนก็ยอม เพราะรู้ว่า ถ้ารักษาคุณภาพดี คนซื้อก็จะกลับมาเอง
อย่างไรก็ตาม การดูแลกล้วยไม่ง่ายเลย ต้องมีทุน เพราะกล้วยต้อง “น้ำถึง ปุ๋ยถึง” ตนใส่ปุ๋ยชีวภาพ ใส่ปุ๋ยเคมี บางครั้งใช้ปุ๋ยคอกจำนวนมาก เริ่มปลูกทีแรกต้องใช้รถสิบล้อบรรทุกปุ๋ยมาลงสวน ต้องไถดิน พรวนดิน ตากดินไว้นานก่อนปลูก จากนั้น ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม แล้วถึงจะลงหน่อ พอกล้วยขึ้นก็ต้องฉีดฮอร์โมน ใส่ปุ๋ยทุกเดือน ดูแลเหมือนลูก
กล้วยที่สวนจะเป็นพันธุ์ปทุม ลูกค้าชอบ เพราะหวาน หอม สีสวย จนเมื่อตนเริ่มขายดี ก็มีคนสนใจมาขอให้รับซื้อผลผลิตของเขาบ้าง กลายเป็นว่า ตอนนี้ตนไม่ได้ทำคนเดียวแล้ว แต่มีลูกสวนหลายคนมาร่วมด้วย ทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงและต่างอำเภอ รวมแล้วเกือบ 100 ไร่ ทั้งของตนเอง ของลูกชาย และของลูกสวน
ตอนนี้มีตลาดหลายที่ รับซื้อกล้วยจากสวนเรา ทั้งมุกดาหาร ขอนแก่น ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ พัทยา เชียงใหม่ และล่าสุด กำลังไปกรุงเทพฯ เช่น ตลาดไท และตลาดสี่มุมเมือง ในช่วงเทศกาล เช่น ตรุษจีน สารทจีน กล้วยจะขายดีมากเคยมีผลผลิตถึง 100 ตัน แต่ยังไม่พอขาย ราคาก็เคยพุ่งถึงกิโลกรัมละ 35 บาท แต่ตอนนี้ราคาประมาณกิโลกรัมละ 15-20 บาท แล้วแต่ขนาดและฤดูกาล
แม้จะเหนื่อย แต่ตนก็มีความสุข เพราะรู้สึกภูมิใจมากกว่าตอนปลูกพืชอย่างอื่น การปลูกกล้วยให้ผลทั้งทางกายและใจ เราไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป มีร่มเงาจากใบกล้วย ทำให้ไม่ร้อนมาก งานส่วนมากเป็นงานที่ผู้สูงอายุอย่างตนยังพอทำได้ ยกเว้นงานหนักๆ อย่างการห่อ การตัด ที่ต้องให้คนงานช่วย
“จึงอยากบอกไปถึงคนที่กำลังท้อ ว่า อย่าเพิ่งหมดหวัง ขอแค่เรามีใจสู้ ตั้งใจจริง และซื่อสัตย์กับลูกค้า ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง ไม่มีใครช่วยเราได้เท่าตัวเราเอง แล้ววันหนึ่งเราจะเห็นว่า ความลำบากที่ผ่านมา มันคือครูที่ดีที่สุด” นางสุธี กล่าวตอนท้าย