ศูนย์ข่าวขอนแก่น-โฆษก ตร.ภาค4 เผยจัดกำลังตำรวจ 200-300 นายผลัดเปลี่ยนลงพื้นที่ไล่ล่า “ไอ้บุญเกิด” คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตำรวจ สภ.เมืองเลยเสียชีวิต ขณะเข้าจับกุมตัวในกระท่อมกลางสวนยาง เชื่อยังกบดานในฝั่งไทย
ขอแรงประชาชนช่วยสอดส่งแจ้งเบาะแส ขณะที่การจับกุมยึดหลักยุทธวิถี ไม่มีธงว่าจับเป็นหรือจับตาย
จากกรณีเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา นายบุญเกิด สิงห์เดชะ อายุ 33 ปี คนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธปืนสั้นไม่ทราบชนิดและขนาดยิงใส่ตำรวจจำนวน 1 นัด ขณะที่มีการนำกำลังจะเข้าตรวจค้นกระท่อมในสวนยางพารา กระสุนปืนถูก ร.ต.ต.ไพไรจน์ พรหมอินทร์ รอง สว.(ป.) สภ.เมืองเลย เข้าตรงบริเวณหน้าอกด้านซ้าย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ที่บ้านก่อไผ่โทน หมู่ที่ 9 ต.กกดู่ อ.เมือง จ.เลย
ล่าสุด พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค4ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค4 เปิดเผยความคืบหน้าในการติ
อย่างไรก็ตามกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีการไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตายผู้ต้องหาได้นั้น ขอเรียนว่า ทางตำรวจได้ยึดหลักการปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหาตามกฎหมาย แต่หากมีการต่อสู้หรือขัดขืนการจับกุม เจ้าหน้าที่ก็จะต้องใช้วิธีในการป้องกันตนเอง และหากผู้ต้องหามีการขอมอบตัว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะทำการจับกุมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นเดียวกัน โดยตำรวจไม่ได้มีธงว่าจะจับเป็นหรือตายผู้ต้องหารายนี้
“เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจและชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นในการจับกุมจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ปราบปราม ในการใช้กำลังเข้าไปกดดัน แต่หากผู้ต้องหาต่อสู้ เจ้าหน้าที่ก็จะใช้หลักการป้องกันตัวตามสมควรแก่เหตุ
พล.ต.ต.พิษณุ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าผู้ต้องหาได้มีการประสานขอเข้ามอบตัว มีเพียงทางครอบครัวและญาติของผู้ต้องหาที่วิงวอนให้ผู้ต้องหาเข้ามามอบตัวกับตำรวจเท่านั้น และจากการข่าว ทราบว่า ขณะนี้ผู้ต้องหายังคงกบดานอยู่ในพื้นที่ ยังไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งกำลังตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค4 ที่มีการระดมกำลังกว่า 300 นาย ยังคงปูพรมไล่ล่า ปิดบ้อมพื้นที่ที่คาดว่า คนร้ายจะหลบหนีไปซ่อนตัว เพื่อที่จะจับกุมตัวคนร้ายอย่างเต็มที่
ส่วนการดูแลช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปนั้น ในเบื้องต้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จะมีการปูนบำเหน็จ 7 ชั้นยศ พร้อมกับได้มอบหมายเงินส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือในขั้นต้น จำนวน 100,000 บาท ให้กับครอบครัว และจะมีการขอพระราชทานเพลิงศพให้สมเกียรติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้วายชนม์ต่อไป