เพชรบูรณ์/นครสวรรค์ - เปิดบันทึก..กรมป่าไม้ปฏิบัติการแกะรอยเฟซบุ๊ก-ปลอมตัวเป็นเสี่ย-ล่อซื้อ แล้วรวบ..อดีต ผญบ.ไพศาลี-ก๊วนนายหน้า ประกาศขายที่ป่าวิเชียรบุรี พบนายทหารระดับบิ๊ก-ยศนายพล ระดับรองเจ้ากรมฯ เอี่ยวครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ ยึดผืนป่าคืนรัฐทั้ง 2 แปลง รวม 546 ไร่
กรณีนายทรงศักดิ์ กิตติธากรณ์ ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ และ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 3 (ภาคเหนือ) ปลอมตัวเป็น "เสี่ย" หรือแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ปฏิบัติการล่อซื้อที่ดิน ภบท.5 จากกลุ่มขบวนการขายที่ป่า อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ เกิดขึ้นหลังพบประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ว่า..ที่ดิน ภบท.5 ราคาไร่ละ 30,000 บาท หมู่ที่ 3 ต.ภูน้ำหยด อ.วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์
กระทั่งสามารถทำบันทึกจับกุมอดีตผู้ใหญ่ฯ ฉลอง อดีตผู้ใหญ่บ้าน อายุ 74 ปี ชาวตำบลวังข่อย อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พุเตย อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ คดีอาญาที่ 51/2568 เวลา 23.00 น.ของวันที่ 2 เมษายน 68 และยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าสองข้างทางสายชัยวิบูลย์ 2 แปลง คือ
1. แปลงที่ 1 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติถูกบุกรุก ยึดถือครอบครอง เนื้อที่จำนวน 173-3-32 ไร่ ค่าเสียหายของรัฐเบื้องต้นพึงได้รับเป็นเงิน 219,746.39.- บาท
2. แปลงที่ 2 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติถูกบุกรุก ยึดถือครอบครอง เนื้อที่จำนวน 372-1-23 ไร่ ค่าเสียหายของรัฐเบื้องต้นพึงได้รับเป็นเงิน 25,423,450.18.- บาท
3. สิ่งปลูกสร้างถาวร(ไม้)ในที่เกิดเหตุป่าด้านทิศตะวันตก บ้านหนองภิรมย์ หมู่ 16 ต.ภูน้ำหยด อ.วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์
ผู้ต้องหา 1 ราย คือ อดีตผู้ใหญ่ฯฉลอง มีความผิดฐาน พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔ แผ้วถาง ทำลาย ยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา ๕๕ ผู้ใดครอบครองป่าที่ได้ถูกแผ้วถาง สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็นผู้แผ้วถางป่า
พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ ยึดถือ ครอบครอง ฯลฯ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา ๒๖/๔ ผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าทั้งหมด มาตรา ๙ ยึดถือ ครอบครองเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน
ส่วนนายหน้าต้องขึ้นอยู่ดุลพินิจของร้อยเวร สภ.พุเตยว่ามีฐานความผิดทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือไม่
ทั้งนี้ นายฉลอง เป็นผู้นำทางและนำตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ ระบุว่า ภาพที่ประกาศขายที่ดิน เป็นของนายพล (ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) เนื้อที่ประมาณ 315 ไร่ ราคาไร่ละประมาณ 27,000-28,000 บาท และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ของตน แต่ได้มีนายพลมาติดต่อขอซื้อ ตนเห็นว่าเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมานานจึงตกลงขายที่ดินให้ ซึ่งเป็นที่ราบสลับเนินเขา ติดกับเทือกเขาสูง พบร่องรอยการปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลังบางส่วน, ร่องรอยเครื่องจักรกลหนักปรับพื้นที่, ขุดเจาะน้ำบาดาล
จากนั้นนายฉลองระบุอีกว่า ยังมีที่ดินอีก 315 ไร่จะขายเช่นกัน ในราคา 3.5 ล้านบาทพร้อมมีใบ ภบท.5 อยู่ติดกันกับแปลงที่ประกาศขาย มีลำห้วยกั้นกลาง ก่อนพาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปจึงถูกยึดทั้งสองแปลงดังกล่าว
ส่วนนายหน้าขายที่ดินอีก 3 คนให้ปากคำอีกว่า พื้นที่จะทำการซื้อขาย มี 2 แปลง เจ้าของ 2 ราย คือ นายฉลอง เนื้อที่ประมาณ 315 ไร่ และพื้นที่ของนายสมริทธ์ (ขอสงวนนามสกุล) จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 315 ไร่
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ใช้เครื่องมือจับพิกัดดาวเทียมตามนายฉลองนำชี้ คำนวณเนื้อที่ได้ 372 ไร่ อีกแปลง ของนายสมริทธ์ ซึ่งนายหน้า (ขอสงวนนาม) ระบุว่าไม่สามารถนำชี้ได้ จะต้องให้เจ้าของนำชี้เท่านั้น ทราบเพียงว่า ด้านทิศใต้ เป็นเส้นทางผ่านเข้า/ออก มีประตูรั้วปิดกั้น ลักษณะบุกรุก ยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงมีฐานความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ ๒๔๘๔”มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ มาตรา ๒๖/๔
อย่างไรก็ตาม ในบันทึกของ จนท.ป่าไม้ ผู้กล่าวโทษนั้น ยังพบว่ามีนายทหารยศใหญ่ร่วมอยู่ในคดีนี้อีกด้วย และตรวจสอบชื่อ นายสมริทธ์ พบว่าเป็นนายทหารยศใหญ่ระดับนายพล ตำแหน่งรองเจ้ากรมฯ