นครปฐม - ญาติยังเอือมพฤติกรรมสาวนครปฐมวัย 21 ร่วมกับสามีฆ่าคนรู้จักเพื่อล้างหนี้ มีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย เคยลักของใน รพ.นครปฐมช่วงที่เป็นลูกจ้างจนถูกไล่ออก เคยหลอกย่าให้ไปรับเงินหมื่น ปลอมเฟซบุ๊กหลอกเอาเงินญาติ ด้านพ่อขอโทษครอบครัวผู้ตาย เผยไม่เคยรู้พฤติกรรมของลูกสาวและลูกเขยมาก่อน แต่ใครทำผิดก็ต้องติดคุกไป ด้านเจ้าหน้าที่ลงงมหาชิ้นส่วนศพในคลองชลประทานแต่ยังไม่พบ
วันนี้ (22 มี.ค.) จากกรณีมีการพบศพของ น.ส.ปิยะวรรณ พงษ์เภา หรือแอน อายุ 22 ปี ชาว ต.บางระกำ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ถูกฆ่าแล้วหั่นศพฝังดินไว้หลังบ้าน ที่ น.ส.ภัทราภรณ์ ลำจวน อายุ 21 ปี หรือมิ้ลค์ ภายในบ้านเลขที่ 38 หมู่ 5 ต.ดอนรวก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พักอาศัยอยู่กับ นายณรงค์ชัย สุวรรณแก้ว หรือเลย์ อายุ 26 ปี สามี อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 3 ต.มาบแค อ.เมืองนครปฐม และต่อมาเจ้าหน้าที่จับกุม น.ส.ภัทราภรณ์ และนายณรงค์ชัย ได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้สารภาพว่าได้ฆ่า น.ส.ปิยะวรรณ แล้วฆ่าหันศพนำไปฝังดินและนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปโยนทิ้งที่คลองชลประทาน ในพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอเมืองนครปฐมและอำเภอดอนตูม ห่างจากบ้านที่พบอวัยวะส่วนแรกประมาณ 300 เมตร
ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.ปิยะวรรณได้มาทวงหนี้ที่บ้านของ น.ส.ภัทราภรณ์ หลังจากพบว่าถูก นาฝ.ส.ภัทราภรณ์หลอกให้โอนเงินเป็นค่าฝากเข้าทำงานที่โรงพยาบาลนครปฐมหลายครั้งแต่ไม่สามารถฝากเข้างานได้ หลังจากนั้น น.ส.ปิยะวรรณ ได้หายตัวไปก่อนจะมาพบเป็นศพในวันนี้
โดยเมื่อช่วงบ่ายหลังจากชาวบ้านได้ทราบข่าวได้มารวมตัวมาที่คลองชลประทานในพื้นที่ตำบลทุ่งน้อย อำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม ได้นำนักประดาน้ำลงทำการดำน้ำเพื่อค้นหาอวัยวะที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้สารภาพว่านำมาโยนทิ้งเพื่ออำพราง โดยติดตามจาก GPS ของโทรศัพท์จากผู้ต้องหาที่มีการวิ่งไปถนนเส้นต่างๆ
โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินเจ้าหน้าที่ได้ดำน้ำค้นหาอวัยวะจากคลองชลประทานและในจุดต่างๆ ระยะทางรวมกว่า 3 กิโลเมตร ซึ่งตลอดทั้งวันยังไม่พบอวัยวะอื่นหรือสิ่งผิดปกติตามข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้มีการยุติการค้นหาในช่วงหัวค่ำ
คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและพูดถึงโดยเฉพาะผู้ต้องหาฝ่ายหญิงซึ่งมีพฤติกรรมเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในเรื่องการใช้เงิน และลักทรัพย์ รวมถึงการหลอกลวงเงินจากชาวบ้านและญาติของตัวเอง
จากการสอบถาม น.ส.แวว (นามสมมติ) อายุ 25 ปี บอกว่าตนเป็นเครือญาติของ น.ส.ภัทราภรณ์ หรือมิลค์ ซึ่งทราบเหตุการณ์ดังกล่าวมาว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นบ้านพ่อและเป็นจุดที่พบอวัยวะแห่งแรก ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นคนในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี ได้มาทวงเงินจากการที่ทั้งคู่ได้ไปหลอกว่าสามารถนำเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลนครปฐมได้ และมีการโอนเงินให้หลายครั้ง กระทั่งผู้เสียชีวิตได้ตามมาทวงเงินที่บ้านและหายตัวไป และมาพบศพในวันนี้ โดยชาวบ้านหลายคนรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับตัวเองทราบข้อมูลจากทางญาติว่า น ส.ภัทราภรณ์ มีพฤติกรรมที่สุดแสบหลายอย่าง เช่น การลักเล็กขโมยน้อยบ่อยครั้ง โดยมีการลักของที่โรงพยาบาลนครปฐมในช่วงที่เป็นลูกจ้าง การลักไก่ของชาวบ้าน และมีอีกหลายเรื่องซึ่งแต่ละเรื่องได้มีการตกลงยอมความกันและไม่เป็นคดีความอะไร แต่ในคดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่อุกฉกรรจ์ที่สุดเท่าที่เคยกระทำ
“ขนาดย่าของเขายังเพิ่งโดนหลอกให้ไปเอาเงิน 10,000 ที่ได้จากรัฐบาล โดยหลอกว่าไปทำถังสีของแฟนหกเสียหาย และปลอมเฟซบุ๊กเป็นคนอื่น บอกญาติให้ไปรับเงินที่บ้านโดยมีการปิดไฟไม่ให้เห็นว่าใครเป็นคนรับ เนื่องจากหากคนในบ้านรู้จะไม่มีทางให้เงินแน่นอน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นที่ระอาและเป็นที่รู้กันของชาวบ้านถึงความแสบของฝ่ายหญิงและสามี ซึ่งตอนนี้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในพื้นที่ โดยหลายคนบอกว่ารับไม่ได้เช่นกันกับความโหดเหี้ยมของคนทั้งคู่" น.ส.แวว กล่าว
ขณะที่ นายวินัย (นามสมมติ) พ่อของ น.ส.ภัทราภรณ์ บอกว่าเพิ่งจะทราบเรื่องเมื่อตอนที่ตำรวจมาที่บ้านและมารับตัวทั้งคู่ไปสอบปากคำมาครั้งหนึ่งแล้วนำกลับมาส่ง จากนั้นมีการมารับไปอีก ก่อนที่ทั้งลูกสาวและแฟนของเขาจะออกจากบ้านไปและมีตำรวจกลับมาที่บ้านโดยมีการไปขุดจนพบศพซึ่งตนไม่ทราบมาว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งในทางคดีต้องยอมรับว่าใครก่ออะไรไว้ต้องรับสิ่งที่ได้ทำไปตามกระบวนการกฎหมาย และที่ผ่านมาตนไม่เคยทราบพฤติกรรมเพราะว่าคนทั้งคู่จะไปอยู่ที่บ้านด้านหลัง จะเข้าออกหรือจะมีการทำอะไรไม่เคยมาปรึกษา เขาใช้ชีวิตส่วนตัวของเขาเวลาจะออกจากบ้านจะใช้ผ้าสแลนปิดทางเข้าออก
ซึ่งตนนอนอยู่ที่บ้านอีกหลังไม่ทราบมาก่อนว่าจะไปคบใครหรือจะไปหาใครตอนไหน ส่วนผู้ตายเพิ่งเคยเห็นมาวันที่เขามาที่บ้านแล้วไม่เห็นอีกเลย ตอนนี้มีความเครียด เพราะกลัวชาวบ้านจะไม่เข้าใจหาว่าเราเป็นคนไม่ดี เรื่องนี้ต้องบอกว่าเราเลี้ยงเขาได้แต่ตัวแต่ไม่สามารถเข้าไปถึงความคิดของเขาได้
"ตอนนี้อยากจะขอโทษญาติของผู้สูญเสีย เพราะเราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำใจอย่างไรเพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว และยังงงอยู่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้ ส่วนตัวคิดว่าคนก่อเหตุต้องติดคุกไปตามที่เขาทำแต่คนที่จะลำบากคือคนที่ต้องอยู่ในชุมชนนี้อยากจะย้ายบ้านหนีออกไปให้พ้นซะที" นายวินัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่ายที่มีการออกติดตามหาอวัยวะส่วนอื่นของผู้ตายได้มีชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันถึงคดีโหดเหี้ยมดังกล่าวว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ได้ และไม่คิดว่าทั้งคู่จะกล้าลงมือและก่อเหตุสะเทือนขวัญในชุมชน โดยประเด็นส่วนใหญ่ได้มีการพูดถึงการใช้เงินเกินตัวและมีคดีหลายครั้งของฝ่ายหญิง ซึ่งจะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวกลับมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรดอนตูมอีกครั้งถึงสาเหตุและกระบวนการในการสังหาร รวมถึงวิธีการในการแยกชิ้นส่วนของศพว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่มีการตัดสินใจก่อเหตุและลงมือในลักษณะใดกันแน่ โดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ