เพชรบูรณ์ - แกะปมดรามาภาพ “ผาหัวสิงห์ ภูทับเบิก” ปี 59 กับ 68 เปลี่ยนชัด..รีสอร์ตสิ่งก่อสร้างผุดเพิ่มเป็นดอกเห็ดแทน ขณะที่ชาวบ้านบอกไม่อยากปลูกผักตลอดชีวิต จังหวัดชี้เป็นเขตนิคมสร้างตนเอง-อยู่นอกเขตอุทยานฯ เขาค้อ /จนท.ตรวจยึด-ป่าไม้ดำเนินคดีแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้อง วันนี้ได้แต่ใช้กฎหมายป่าไม้ควบคุม
กรณีมีการโพสต์ภาพบริเวณ "ผาหัวสิงห์" บ้านดอยน้ำเพียง เขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการนำเสนอภาพปี 2559 เปรียบเทียบกับภาพในปัจจุบันปี 2568 ที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ดังกล่าวอย่างชัดเจน
ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งได้รับแจ้งว่าทางจังหวัดอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล และในขณะนี้ปัญหาดังกล่าวได้ยุติลงแล้ว โดยรีสอร์ตที่ปรากฏในภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่นิคมพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ทั้งนี้ ทางอุทยานได้มีการดำเนินการปักป้ายแนวเขตและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำในพื้นที่อุทยานออกหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ออกมาแสดงมุมมองของตนเองเกี่ยวกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่คาดว่าเป็นชาวบ้านรายหนึ่ง แสดงความคิดเห็นว่า
"พวกเราคนดอยไม่อยากปลูกผักตลอดชีวิต ถึงเราไม่เอาความเจริญ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาหาเราเอง เราไม่เคยไปร้องขอความเจริญ แต่เราต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด เมื่อมีโอกาสทำเงินก็ต้องทำ รัฐควรเห็นใจและเปิดโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามความเหมาะสม"
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงประเด็นเรื่องขยะและการพัฒนาในพื้นที่ว่า "ทำไมต้องคาดหวังว่าบนดอยต้องมีแต่ต้นหญ้าต้นไม้? มีคนอยู่ที่ไหนก็ต้องมีขยะที่นั่น บ้านคุณเองก็มีขยะเป็นร้อยตัน การทำลายป่ามีอยู่ทุกที่ ทุกจังหวัด ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด แต่เมื่อเกิดอุทกภัยก็มักจะโทษว่ามาจากภูเขา ทั้งที่ฝนตกทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่บนดอย"
ความคิดเห็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของชาวบ้านที่ต้องการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ถูกมองว่าล้าหลังหรือเป็นเพียงชุมชนเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว ซึ่งประเด็นนี้ยังคงเป็นข้อถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่บนภูเขากับการรักษาสิ่งแวดล้อมให้สมดุลกัน
ทั้งนี้ คงต้องติดตามต่อไปว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีแนวทางในการจัดการปัญหานี้อย่างไร เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาพื้นที่และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ล่าสุด อำเภอหล่มเก่าและ สจป.4 พล.ชี้แจงกรณีปรากฏข่าวในโซเชียลมีเดีย Facebook “เที่ยวยังไงให้ป่าหาย...ภาพไวรัลจากสภาพป่าที่สมบูรณ์กลายเป็นสิ่งปลูกสร้าง บนผาหัวสิงห์ ภูทับเบิก อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2559 VS พ.ศ. 2568” ว่า
พื้นที่ที่ปรากฏดังกล่าวเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อกับพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งพื้นที่ผาหัวสิงห์ที่ได้มีการก่อสร้างอาคารสิ่งปลูก สถานที่พักนั้น อำเภอหล่มเก่าได้ดำเนินการตามข้อสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า พช.18 (น้ำชุน) เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการป่าไม้พิเศษเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ร่วมเข้าดำเนินการจับกุมผู้ก่อสร้างอาคารปลูกสร้างในพื้นที่ผาหัวสิงห์ ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา เรื่อง ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้าไปยึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ทางด้านสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก แจ้งว่า คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดพื้นที่และดำเนินคดี ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ปรากฏตามคดีอาญาของสถานีตำรวจภูธรหล่มเก่า ดังนี้
1.1 คดีอาญาที่ 213/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
1.2 คดีอาญาที่ 214/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
1.3 คดีอาญาที่ 282/2566 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2566
ต่อมาสถานีตำรวจภูธรหล่มเก่า มีหนังสือแจ้งผลคดี ตามข้อ 1. ดังนี้
2.1 คดีอาญาที่ 213/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
2.2 คดีอาญาที่ 214/2566 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
2.3 คดีอาญาที่ 282/2566 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 พนักงานอัยการมีคำสั่งให้งดการสอบสวน
โดยคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง มีคำวินิจฉัยสรุปความได้ว่า พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่จัดสรรให้เป็นที่อยู่อาศัยและทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 อีกทั้งบริเวณพื้นที่เกิดเหตุมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในลักษณะเดียวกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ต้องหาเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินในเขตที่ทางราชการจัดสรรให้ ผู้ต้องหาจึงมีสิทธิ์ทำประโยชน์ การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดเจตนาในการกระทำความผิดทางอาญา
สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเพราะเห็นว่าผู้ต้องหาเชื่อโดยสุจริตว่ามีอำนาจกระทำได้ แต่พื้นที่บริเวณดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่า ตามมาตรา 4 (1) แห่งพระบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมป่าไม้ในการควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการบุกรุกทำลายป่า
ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องหาหรือบุคคลอื่นใดกลับเข้าไปดำเนินการกระทำความผิดต่อไป จึงได้สั่งการมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการปักป้ายประกาศข้อความแจ้งเตือนบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ แจ้งว่าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 การทำประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการบุกรุก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฝ่าฝืนกระทำการต่อไป
สถานะของที่ดินบริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 มอบให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นป่าไม้และภูเขาสูงบางพื้นที่สูงชัน เป็นต้นน้ำลำธาร มีฝนตกหนาแน่นไม่เหมาะสมกับการจัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเอง ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวมีการสู้รบกันในพื้นที่ระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับรัฐบาล ทำให้จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตราพระราชกฤษฎีการองรับการจัดตั้งนิคมดังกล่าวได้ ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดเพชรบูรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายและไม่สามารถดำเนินการจัดสรรพื้นที่ดินให้ราษฎรได้ พื้นที่บริเวณดังกล่าวจึงมีสถานะทางกฎหมายเป็นป่าตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484
ทั้งนี้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก จะส่ง จนท.ป่าไม้ไปตรวจสอบ และดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป