ฉะเชิงเทรา - ทุนจีนมาเงียบๆ กวาดเรียบนะจ๊ะ ชาวบ้านที่ดินคลองตะเกรา อ.ท่าเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา มีการส่งคนกว้านซื้อแปลงใหญ่ล้อมที่ดินของตนจนต้องตัดใจขายเพราะกลัวจะกลายเป็นที่ตาบอดและซ้ำกดราคาเหลือเพียงไร่ละ 6 พัน ทั้งที่ไม่รู้คนซื้อคือใครกระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่ ชี้ไม่เคยเห็นคนจีนเข้ามาในพื้นที่
จากกรณีที่ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา พร้อมคณะและหน่วยงานในสังกัดกรมป่าไม้ ทสจ.ฉะเชิงเทรา รวมทั้งฝ่ายปกครอง นายก อบต.คลองตะเกรา และตำรวจ สภ.ท่าตะเกียบ ได้ร่วมกันติดตามกรณีการตรวจพบบริษัทชาวจีน ที่ได้เข้ามาถือครองที่ดินทำสวนทุเรียนในพื้นที่บ้ายห้วยนา ม.20 ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา
และยังพบการขุดบ่อน้ำลึกประมาณ 30 เมตร กว้างไม่ต่ำกว่า 50 เมตร จำนวน 1 บ่อในสวนทุเรียนดังกล่าว ซึ่งเป็นการดำเนินงานโดยไม่มีการขออนุญาตขุดดิน ถมดินต่อทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ขุดดิน-ถมดิน ซ้ำยังมีการปิดลำลางร่องน้ำจากชายเขา เบี่ยงทางให้น้ำเข้าไปในสระน้ำที่ขุดไว้ และยังมีการเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่ รวมทั้งมีการปลูกสร้างโรงเรือนเพื่อใช้เก็บอุปกรณ์และเป็นที่พักคนงาน
โดยมีการระบุว่า การเข้ามาบุกรุก แผ้วถางป่าเพื่อทำสวนทุเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา แสดงให้เห็นว่ากลุ่มทุนจีนพยายามเข้ามาถือครองที่ดิน ด้วยการซื้อที่ดินผ่านบริษัทเจ้าของเดิม และใช้คนไทยที่เป็นผู้ร่วมถือหุ้นในบริษัท เข้าซื้อสิทธิเพื่อเลี่ยงกฎหมายนั้น
วันนี้ (1 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่หมู่บ้านเขากล้วยไม้ ม.14 ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา หลังถูกระบุว่าเป็นจุดที่กลุ่มทุนจีนเข้ามากว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่เคยมีชาวบ้านทำกินตามเอกสารการถือครอง ภบท.5 และบางส่วนถูกจัดสรรให้ทำกินตามโครงการ คทช. โดยได้รับการยืนยันจากชาวบ้านว่าไม่เคยมีใครเห็นคนจีนเข้ามาในพื้นที่
น.ส.สลักจิต อายุ 46 ปี เผยว่าตนได้ยินกระแสข่าวดังกล่าวอยู่เช่นกันแต่ไม่ทราบว่ามีทุนจีนเข้ามาในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อใด ส่วนพื้นที่แปลงที่มีการปลูกทุเรียนได้พบเห็นมาประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว และเห็นเพียงคนงานจากในสวนที่ออกมาซื้อของจากร้านค้าในหมู่บ้านเท่านั้น
"ทราบอีกครั้งเมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้ามายึดพื้นที่เมื่อหลายวันก่อน โดยไม่ทราบว่าเจ้าของเดิมในพื้นที่แปลงนั้นเป็นใครบ้าง แต่เชื่อว่าน่าจะมีการซื้อขายต่อกันหลายทอด ซึ่งเจ้าของเดิมอาจจะมีทั้งที่เสียชีวิตไปแล้ว และอาจย้ายออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว"
น.ส.สลักจิต ยังบอกอีกว่าในครั้งแรกที่เห็นว่ามีการปลูกทุเรียน ชาวบ้านต่างพากันเข้าใจกันว่าเป็นของคนไทยที่เข้ามาซื้อที่ทำสวนทุเรียนซึ่งเป็นไปตามปกติ โดยไม่มีใครคิดว่าจะเป็นของนายทุนจีนเพราะไม่มีใครเคยเห็นชาวจีน กระทั่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามายึดคืนพื้นที่จนกลายเป็นข่าวใหญ่ โดยยืนยันว่าพฤติกรรมปกติของชาวบ้านจะไม่มีการเข้าไปชายป่าชายเขา เพราะกลัวว่าจะถูกช้างป่าทำร้าย
เช่นเดียวกับ นางสีดา อายุ 69 ปี เผยว่าตนเปิดร้านขายของในพื้นที่มานานไม่เคยมีข่าวว่าชาวบ้านในพื้นที่ถูกว่าจ้างให้เข้าไปทำงานในสวนทุเรียนดังกล่าว ซึ่งแต่เดิมตนเคยมีที่ดินอยู่ด้านหลังเขาในจุดที่มีการทำสวน แต่ได้ปลูกอ้อย ปลูกมัน จำนวน 13 ไร่ และเมื่อเห็นชาวบ้านหลายรายพากันขายที่ให้นายทุน จึงได้ตัดสินใจขายบ้างในราคาไร่ละ 6 พันบาท ซึ่งเป็นราคาเมื่อหลายสิบปีก่อน
"ที่ยอมขายในครั้งนั้นเพราะกลัวว่าจะถูกที่ดินแปลงใหญ่ที่ถูกนายทุนกว้านซื้อไป ล้อมที่ดินของตัวเองจนกลายเป็นที่ตาบอด และกลัวปัญหาเรื่องของทางเข้าออก ซึ่งในครั้งนั้นไม่รู้ว่าคนที่มากว้านซื้อเป็นใคร แต่มีบางคนที่ไม่ยอมขายและยังทำสวนยาง ติดกับแปลงทุเรียนจนถึงทุกวันนี้ แต่เรากลัวเรื่องอิทธิพล จึงต้องจำใจขายเพราะไม่รู้ว่าคนที่มากว้านซื้อเป็นใคร รู้แค่ว่าเป็นคนที่มีเงินและซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังกดราคาจากเดิมที่บอกจะจ่ายไร่ละ 1 หมื่นบาท เหลือเพียง 6 พันบาทเท่านั้น" นางสีดา กล่าว