นครปฐม - สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นแม่ค้า พ่อค้าตลาดนัด การขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ครอบคลุมกลุ่มอาชีพที่มีนายจ้าง 3 กลุ่ม
วันนี้ (27 ก.พ.) ที่จังหวัดนครปฐม น.ส.สุกิจจา วานิชพงษ์พันธุ์ ประกันสังคมจังหวัดนครปฐม มอบหมายให้นายวิหาร มูลมาก นักวิชาการแรงงานชำนาญการ นางกาญจนา มณฑาทอง นักวิชาการแรงงานปฏิบัติการ และพนักงานประกันสังคม ลงพื้นที่อำเภอดอนตูมประชาสัมพันธ์รับฟังความคิดเห็นปรับปรุงกฎหมายขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนมาตรา 33
โดยการลงพื้นที่สำรวจและรับฟังความคิดเห็นโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐมเพื่อเข้าสู่การปรับปรุงกฎหมายขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนมาตรา 33 ครอบคลุมกลุ่มอาชีพที่มีนายจ้าง 3 กลุ่ม ลูกจ้างของกิจการ เพาะปลูก ประมง ป้าไม้ และเลี้ยงสัตว์ ลูกจ้างที่ทำงานในบ้านเรือนส่วนบุคคล ลูกจ้างในกิจการ การค้าแผงลอย มีความมั่นคงในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคม สิทธิประโยชน์ 7 กรณี
ที่ลูกจ้างจะได้รับกรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ กรณีทุพพลภาพ กรณีว่างงาน กรณีตาย การนำส่งเงินสมทบนายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างและขึ้นทะเบียนลูกจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมฝ่ายละ 5% ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่หักเงินสมทบโดยปัจจุบัน ค่าจ้างที่นำมาคำนวณเงินสมทบต่ำสุดเป็นเงิน 1,650 บาท/เดือนและสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน
ประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงสิทธิประกันสังคมครบถ้วน 7 กรณีมีหลักประกันในการดำรงชีวิต และได้รับการรักษาหากเจ็บป่วย รวมถึงมีสิทธิได้รับเงินชดเชยกรณีต่างๆ เช่น เงินค่าคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร เงินบำนาญชราภาพ เงินว่างงาน เงินทดแทนทุพพลภาพ และเงินกรณีตาย เป็นต้น ได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันทุกกิจการ ได้รับความคุ้มครองหลักประกันสังคมเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ประโยชน์ที่นายจ้างจะได้รับ คลายความกังวลในการดูแลลูกจ้าง หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเมื่อมีเหตุต่างๆ กับลูกจ้างเพราะระบบประกันสังคมจะเป็นผู้รับความเสี่ยงไว้แทนนายจ้าง เช่น เงินชดเชยการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย