xs
xsm
sm
md
lg

นายก ส.โรงสีอีสานหนุน 3 มาตรการรัฐพยุงราคาข้าวนาปรัง แนะเร่งตั้ง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้า” แก้ยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคอีสานหนุน 3 มาตรการรัฐชะลอการขายเพื่อพยุงราคาข้าวนาปรังหลังราคาตกต่ำหนัก แต่ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดบางมาตรการ แนะทางออกยั่งยืนเร่งปัดฝุ่นตั้ง “ตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร” แก้ปัญหาระยะยาว ช่วยเกษตรกรวางแผนการผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด บริหารความเสี่ยงด้านราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระงบฯ รัฐแทรกแซงตลาด

วันนี้ ( 24 ก.พ. 68 ) ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ด้านการตลาด มีมติเห็นชอบ 3 มาตรการสำคัญเพื่อพยุงราคาข้าวเปลือกนาปรัง จากสถานการณ์ราคาตกต่ำอันเป็นผลมาจากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย ล่าสุด นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าของโรงสีเจริญผล ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อมาตรการดังกล่าวว่า ถือเป็นแนวทางที่ช่วยบรรเทาปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังมีรายละเอียดที่ต้องปรับปรุงและกำหนดให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการช่วยเหลือเกษตรกร


สำหรับ 3 มาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ ได้แก่ 1. สินเชื่อชะลอการขายข้าว โดยให้เงินช่วยค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน หากเก็บไว้ในยุ้งฉางของตัวเอง และ 1,000 บาทต่อตัน หากฝากไว้ที่สหกรณ์ ซึ่งสหกรณ์จะได้รับเพิ่มอีก 500 บาทต่อตัน ทั้งนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องเก็บข้าวไว้ระหว่าง 1-5 เดือน โดยมีเป้าหมายที่ 1.5 ล้านตัน 2. ชดเชยดอกเบี้ย 6% ให้กับโรงสีที่เก็บสต็อกข้าวไว้ 2-6 เดือน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาด 200 บาทต่อตันขึ้นไป ตั้งเป้าไว้ที่ 2 ล้านตัน และ 3. เปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกโดยรัฐจะสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 500 บาทต่อตัน พร้อมกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรับซื้อข้าวสูงกว่าตลาด 300 บาทต่อตัน ตั้งเป้ารับซื้อ 3 แสนตัน โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,893.53 ล้านบาท


นายวิชัยเปิดเผยว่า ข้าวนาปรังที่กำลังจะออกสู่ตลาดพร้อมกันทั่วประเทศในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปต่างประเทศถึง 60-70% และใช้ภายในประเทศเพียง 30-40% เท่านั้น โดยข้าวนาปรังส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานมีปริมาณน้อย เนื่องจากขาดแคลนน้ำสำหรับเพาะปลูก ข้าวที่ปลูกได้ส่วนมากเป็นข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว ซึ่งยังคงมีราคาค่อนข้างดี โดยข้าวหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 15,500-15,600 บาท และข้าวเหนียวอยู่ที่ตันละ 12,000-13,000 บาท แต่ปัญหาหลักจะเกิดขึ้นในภาคกลางและภาคตะวันออกที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นหลัก และเมื่อปริมาณข้าวออกมามากในช่วงเวลาเดียวกัน ย่อมทำให้เกิดภาวะล้นตลาด ราคาข้าวตกต่ำ และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร


นายวิชัยกล่าวต่อว่า มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาถือเป็นแนวทางช่วยชะลอการขายเพื่อพยุงราคาข้าวให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเงื่อนไขในการรับฝากข้าวของเกษตรกร ซึ่งเดิมทีเกษตรกรสามารถฝากข้าวไว้ในยุ้งฉางของตนเองหรือสหกรณ์ เพื่อขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ แต่ในกรณีที่เกษตรกรนำข้าวไปฝากไว้กับโรงสียังไม่มีความชัดเจนว่า ธ.ก.ส.จะสามารถให้สินเชื่อได้หรือไม่ เนื่องจากโรงสีไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขเดิมของโครงการชะลอการขายข้าว ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการให้โรงสีเข้ามามีบทบาทในการรับฝากข้าวมากขึ้น ก็จำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

ในส่วนของมาตรการเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก แม้จะช่วยให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น แต่สำหรับภาคอีสานที่ปลูกข้าวนาปรังน้อยและกระจายตัวอยู่ไกลกันมาก อาจทำให้การเปิดจุดรับซื้อแต่ละแห่งมีปริมาณข้าวเปลือกไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้นทุนดำเนินการสูงขึ้นและอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการขนส่งข้าวไปขาย ซึ่งอาจทำให้โครงการนี้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าของโรงสีเจริญผล
นายวิชัยยังเสนอว่า ทางออกที่ยั่งยืนกว่าคือการผลักดันให้เกิด "ตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร" โดยอธิบายว่าราคาสินค้าเกษตรขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน หากสามารถกำหนดปริมาณการซื้อขายล่วงหน้าได้ ก็จะช่วยให้เกษตรกรวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ลดปัญหาราคาตกต่ำอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกามีตลาดซื้อขายล่วงหน้ามานานแล้ว ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถกำหนดราคาขายได้ก่อนถึงช่วงเก็บเกี่ยว ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงด้านราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย แม้จะเคยมีแนวคิดเรื่องตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรเมื่อ 10 กว่าปีก่อน แต่กลับถูกล้มเลิกไปเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งที่แนวคิดนี้สามารถช่วยให้ราคาผลผลิตเกษตรมีเสถียรภาพมากขึ้น ลดการพึ่งพามาตรการอุดหนุนจากภาครัฐในระยะยาว และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดข้าว


นายวิชัยย้ำว่า หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำอย่างยั่งยืน ควรนำแนวคิดตลาดซื้อขายล่วงหน้ากลับมาปัดฝุ่นและดำเนินการอย่างจริงจัง โดยต้องมีการกำหนดระบบการซื้อขายที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายข้าวล่วงหน้าในราคาที่เหมาะสมและมั่นใจได้ว่าผลผลิตของตนจะมีตลาดรองรับ ไม่ถูกกดราคาจากกลุ่มพ่อค้าคนกลาง

“หากประเทศไทยมีตลาดซื้อขายล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรจะสามารถกำหนดแผนการผลิตได้ดียิ่งขึ้น โรงสีจะสามารถบริหารจัดการสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และภาครัฐเองก็ไม่ต้องแบกรับภาระงบประมาณจำนวนมากในการแทรกแซงตลาดข้าวทุกปี” นายวิชัยกล่าวทิ้งท้าย



นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าของโรงสีเจริญผล


กำลังโหลดความคิดเห็น