แม่ฮ่องสอน - เปิดบันทึกอดีตปลัดอำเภอฯ ที่สมัครใจบรรจุใหม่ที่ปาย..40 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ชุมชนท่องเที่ยวบนดอยสูงหลากชาติพันธุ์ ทั้งไต-คนเมือง-อดีตทหารกองพล 93 รวมถึงกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ว้า ฝรั่งแห่เข้ามานาน ก่อนยิวนิยมมาพักผ่อนระหว่างพักรบปาเลสไตน์ จากหลักร้อยเป็นหลักพัน จนมาอยู่อาศัย-ทำมาหากิน ตั้งโบสถ์ กระทั่งปายมีทั้งยิว-อิสลาม
พันธุ์ชัย วัฒนชัย อดีตปลัดอำเภอปาย แม่ฮ่องสอน เมื่อ 40 กว่าปีก่อน (2522-2525) ได้เล่าเรื่องเมืองปายที่สัมผัสสมัยที่บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ ว่า ชาวบ้านมีทั้งชาวไตหรือไทใหญ่ มีจำนวนมากที่สุด, รองมา ก็คนเมืองหรือไตยวน, จีนฮ่อหรือจีนยูนนาน (เช่นอดีตทหารกองพล 93 ของเจียงไคเช็กและลูกหลาน ที่เคยสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน นับถืออิสลาม และลัทธิขงจื๊อ เต๋า พุทธ), กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ปกาเกอะญอหรือกะเหรี่ยง ม้ง ลีซอ ลาหู่หรือมูเซอร์ ลัวะหรือว้า (ชนเผ่าดั้งเดิมของล้านนา ถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษสายหนึ่งของเจ้าผู้ครองนครในล้านนาก็ว่าได้ เช่นเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน จากลำปาง หรือราชวงศ์ทิพย์จักร) และชาวไทยภาคกลาง
สมัยนั้นจะมีฝรั่งมาเที่ยวบ้าง ขึ้นดอย หาฝิ่นสูบ เที่ยวชมธรรมชาติ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าถนนก่อนเข้าปาย ขึ้นดอย มีที่หนึ่ง เรียกว่า กิ่วแหม่ม หมายถึงคนขับรถรับจ้างข่มขืนแหม่มฝรั่งตรงกิ่วนั้น กิ่วแปลว่าช่องเขาแคบๆ
ปลัดอาวุโสท่านหนึ่งเป็นคน มส.(แม่ฮ่องสอน) ใจดีคอยสอนงานปกครอง แต่ตอนบ่ายๆ จะแว่บไปสูบฝิ่นที่บ้านชาวบ้านใกล้อำเภอ แล้วกลับมาทำงานต่อ คงจะไปเติมกำลังกาย-ใจกระมัง สมัยนั้นชาวบ้านบนดอยหลายหมู่บ้านปลูกฝิ่นเป็นอาชีพ ดอกฝิ่นสีสวยสดงดงาม มีทั้งแดง ขาว ชมพู พี่น้องชนเผ่าลีซอยังเคยสอนการกรีดฝิ่นให้ดู
ตัวเองเคยไปลองสูบฝิ่นกับพี่น้องชนเผ่า แต่สูบไม่เป็น สำลัก คนสอนบอกสูบเข้าปอดแล้ว ไม่ต้องพ่นออกมา ไม่งั้นเสียของ..
รองปลัดอาวุโสอีกท่านหนึ่งคนพะเยา ใจดีมากเช่นกันคอยสอนงานปกครอง ป้องกัน พาไปประชุมที่ อ.เมือง มส. ตอนเช้านั่งรถกระบะของอำเภอไป ผ่านบ้านลาหู่หรือมูเซอร์ แวะกินข้าวนึ่ง กับลาบ และเหล้าขาวแก้หนาว สาวๆ ลาหู่หน้าตาสวย คมคายกว่าชนเผ่าอื่นๆ รองลงมาก็ปกาเกอะญอ
บางวัน ตกเย็นที่ปาย รอง ป.อาวุโส จะชวนกับปลัดใหม่หนุ่มๆ ไปกินลาบ เหล้าขาวใส่ยาดองยี่ห้อเสือ 11 ตัว และลู่ (คือเลือดหมูสดๆ ใส่เครื่องในคั่ว น้ำผักดอง) ที่บ้าน
พี่ปลัดทั้งสองท่านจบเพียงชั้นมัธยม ไต่เต้าจาก จนท. ปกครอง จนสอบเป็นปลัดอำเภอได้
เส้นทางเข้าออกไปปาย มีทางหลัก 2 ทาง จากเชียงใหม่-แม่ริม-แยกแม่มาลัย อ.แม่แตง-ปาย ช่วงแรกถนนเข้าปาย เป็นลูกรัง ที่ทำขึ้นเพื่อขนไม้สัก ภายหลังลาดยาง โชคดีสมัย เสธ.สนั่น ขจรประศาสน์ (อดีตคนพิจิตร พ่อเคยเป็นปลัดอำเภอโพทะเล เก่า) เป็นรมว.เกษตรฯ ยกเลิกสัมปทานไม้ทั่วประเทศ ปี 2532 (ก่อนหน้านั้นรัฐบาลก่อนๆ ก็สั่งยกเลิกสัมปทานเป็นระยะมาแล้ว) ไม่งั้นไม้หมดป่าแน่
เส้นทาง ชม.-แม่แตง- ปาย ระยะทางประมาณ 130 กม.
ตอนเป็นปลัดอำเภอ ผู้ช่วยป่าไม้อำเภอชื่อสุทัศน์ แบ่งทิศ เคยให้ลงนามใบขนย้ายไม้แทนนายอำเภอ เพื่อขนย้ายไม้สักสัมปทานจากปายไปแม่ริม ชม. ตกเย็นผู้ช่วยป่าไม้ใจดี ชวนไปกินข้าว กับแกล้มที่แกทำเองที่บ้านพักป่าไม้พร้อมเหล้าแดง แม่โขง (พี่สุทัศน์เป็นคนเมืองแพร่ จบ ร.ร.ป่าไม้แพร่ ผู้ชายล้านนา จะทำกับแกล้มเก่ง เพราะดื่มเหล้าเก่งด้วย)
การที่เคยลงนามใบขนย้ายไม้ จึงได้ขอคนขับรถบรรทุกไม้ ให้ตัวเองนั่งรถจากปาย แวะรับชาวปกาเกอะญอ 2 คนพ่อลูก ที่เป็นโรคเรื้อนขึ้นรถจากปาย เข้าไปรักษาตัวที่ รพ.แมคเคน เมืองเชียงใหม่ เพราะหมอ รพ.ปายตอนนั้นไม่มียารักษาโรคเรื้อน ซึ่งทำให้ตัวเองมีกำลังใจที่ จนท.รพ.แมคเคนบอกว่า..คุณเป็นปลัดอำเภอคนแรกที่พาคนไข้โรคเรื้อนมารักษาที่แมคเคนนี้
อีกเส้นทาง จาก ชม.-จอมทอง-แม่สะเรียง-ขุนยวม-เมืองแม่ฮ่องสอน 360 กม. และจาก มส.-ปาย อีก 111 กม. รวมเส้นทางนี้ไกลหน่อย 471 กม.
ปาย มีจุดเด่นคือ พื้นที่อยู่บนดอย ภาคเหนือของไทย ติดรัฐฉาน เมียนมา อากาศหนาวเย็น ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ มีประวัติยาวนาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ พวกมนุษย์ถ้ำ จนยุคปัจจุบัน จากชุมชน หมู่บ้าน เมือง ขึ้นกับไตใหญ่ พม่า เชียงใหม่ล้านนา และสยาม จนมาตั้งเป็นอำเภอในปี 2454 สมัย ร.๖
แต่ปัจจุบัน..สอบถามจากนายก อบต.เวียงใต้ อ.ปาย ชื่อ วีระชัย แสงทองอร่าม เป็นชาว อ.บางมูลนาก พิจิตร เหมือนกัน แต่คนละตำบล ไปเจอกันสมัยที่วีระชัยไปเป็นพ่อค้าที่ อ.ปาย (ก่อนตนไปทำงานปาย) ซื้อขายหอมกระเทียมจากปาย มาขายที่ ชม. อยู่จนทำงานรับเหมาก่อสร้าง สร้างตลาดสดใหม่ สร้างความเจริญด้านเศรษฐกิจ สังคม ให้ชาว อ.ปาย มากมาย เรียนต่อจนจบตรีและโทที่ มช. จนได้เป็นนายก อบต.ด้วยความบากบั่น มุมานะเอาชนะความยากจนสมัยเด็กๆ ที่วีระชัยต้องไปเป็นลูกจ้างมานาน
นายก อบต.วีระชัยเล่าว่า ชาวฝรั่งและต่างชาติมาเที่ยวปายแล้วติดใจ เช่นชาวอิสราเอลหรือยิว เมื่อ 10 ปีก่อน หลังพักรบกับชาวปาเลสไตน์ ก็มาพักผ่อนที่ปาย เดือนละ 2-300 คน จนถึงนับพันคนในปัจจุบัน ภายหลังมาอยู่อาศัย และทำมาหากินไปด้วย เช่น ทำร้านอาหาร รีสอร์ต จนสร้างโบสถ์ชั่วคราวชาวยิวเรียกว่า Chabad of Pai.( คำว่า Chabad เป็นชื่อขบวนการชาวยิวในด้านศาสนาและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ กระจายไปทั้งยุโรป อเมริกา เอเชียฯ)
นักท่องเที่ยวบางคน เมาเหล้าเกเรก็มี ไม่เคารพกฎหมาย และมารยาทของสังคมไทย
ในด้านบวกก็สร้างเศรษฐกิจให้เติบโต..แต่ก็ต้องระวังด้านลบ เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่จะเสื่อมโทรมลงไป เช่นขยะ ลำน้ำปาย ป่าไม้ วัฒนธรรมที่ดีงาม
และที่น่ากังวลอีกอย่างคือ ในปาย มีทั้งชาวยิว มุสลิมและอื่นๆ ที่อาจโยงใยไปถึงในตะวันออกกลาง ที่ทั้งสองฝ่ายยังเป็นคู่ขัดแย้งกัน ยิ่งประธานาธิบดี Trump ของอเมริกามีแนวคิดจะขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา ยิ่งจะทำให้สงครามยิวกับอาหรับขยายวงกว้างขึ้นอีก
ปาย แม่ฮ่องสอน เป็นแหล่งทดสอบแนวคิดและการปฏิบัติงานของตน ในเรื่องสังคมนิยม การเมือง การปกครอง และหลักคุณธรรมจริยธรรมตามหลักศาสนาสากล ที่ถือว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกัน ไม่ควรแบ่งชนชั้นวรรณะ และต้องยึดหลักพรหมวิหารสี่ ในเรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
การทำงานบริการประชาชนจึงต้องยึดถือหลักการทั้งสองดังกล่าวตลอดระยะเวล า4 ปีที่ปาย ในปีสุดท้ายที่ปาย มีนิตยสารท่องเที่ยวฉบับหนึ่งไปสัมภาษณ์ชาวบ้าน และเรียกตนว่า เป็นปลัดกรรมกรคนหนึ่งในด้านบริการประชาชน
อาจเพราะช่วงหนึ่งเกิดข้าวยากหมากแพง รัฐบาลให้อำเภอนำข้าวสาร (เรียกข้าวโอชา) มาบริการชาวบ้านราคาถูก นายอำเภอให้ตนรับผิดชอบแจกจ่าย เลยลองหัดแบกข้าวสารจากกรรมกร ข้าวเก็บไว้ที่หอประชุมอำเภอปาย กระสอบละ 100 กก. ต้องยกใส่รถกระบะและล้อเกวียน ให้ชาวบ้านที่มารับที่อำเภอ