เชียงใหม่ -รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 สอบปากคำ 6 ผู้ต้องหาเครือข่ายกลุ่มกดเงินจากตู้ATM ลูกสมุนแก๊งปลอมเพจที่พักโรงแรมและหลอกขายสินค้าไม่ตรงปก ลวงเหยื่อให้หลงเชื่อโอนเงิน พบของกลางบัญชีม้ากว่า 40 บัญชี เงินสด 1.6 ล้านบาท สารภาพในช่วง 3 เดือนกว่าที่ผ่านมามีการถอนเงินสดของเหยื่อออกมาแล้วกว่า 40 ล้านบาท และรับส่วนแบ่ง 1% ส่วนเงินสดที่เหลือลักลอบขนข้ามฝั่งไปเมียนมาส่งให้ผู้บงการใหญ่ ด้าน ผบ.ตร.สั่งเร่งขยายผลกวาดล้างให้สิ้นซาก
วันนี้(19 ก.พ.68) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ พลตำรวจตรีธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ทำการสอบปากคำผู้ต้องหา 6 รายที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ภาค 5 และ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ กองบังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 ปิดล้อมตรวจค้นจับกุมกลุ่มเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี “เครือข่ายกลุ่มกดเงิน”ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย หลังจากที่สืบสวนจนทราบว่ามีบัญชีธนาคารที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของการหลอกลวงออนไลน์ จำนวน 93 คดี ทั่วประเทศ และมีการถอนเงินสดผ่านตู้ATM อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องมีเงินหมุนเวียนกว่า 24 ล้านบาท และยังพบว่ากลุ่มบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการหลอกลวงผู้เสียหายในคดีของ สภ.เมืองลำพูน จังหวัดลำพูนอีก 1 คดี ซึ่งเป็นคดีประเภทหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะเป็นขบวนการ
โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนรวบรวมข้อมูลจนสามารถพิสูจน์ทราบกลุ่มคนร้ายที่มีหน้าที่จัดการด้านการเงินเป็นขบวนการเปิดบัญชีม้า และกลุ่มม้ากดเงินที่ได้จากการกระทำความผิด จำนวน 6 ราย และศาลจังหวัดลำพูน ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ทั้งนี้ผลการดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นพร้อมกัน ได้ผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยของกลาง ทั้งบัตรเอทีเอ็ม บัญชีม้าของธนาคารต่างๆ อีกกว่า 40 บัญชี เงินสดของกลางซึ่งตรวจยึดได้จาก น.ส.จอ ไม่มีนามสกุล สัญชาติเมียนมา อายุ 31 ปี จำนวน 1,600,000 บาท นอกจากนี้แล้วยังตรวตยึดโทรศัพท์มือถือ ถยนต์ รถจักรยานยนต์ และของกลางที่ใช้ก่อเหตุอีกจำนวนมาก
ขณะที่จากการสอบปากคำเบื้องต้นเพื่อขยายผลทราบว่าผู้ถูกจับกลุ่มดังกล่าวให้การสอดคล้องกันว่า ได้พบการโฆษณาหารายได้เสริมจากช่องทางออนไลน์ โดยมี SMS เข้ามาที่โทรศัพท์ ทำให้เกิดความสนใจและต่อมาได้ใช้แอปพลิเคชั่นเทเลแกรม พูดคุยกับผู้ใช้เทเลแกรมชื่อบัญชี “นักทำลายใต้หว่างขา” จนตกลงรับทำงานโดยใช้บัตรเอทีเอ็มในการถอนเงินสดจากตู้ โดยจะได้รับค่าตอบแทนจำนวน 1 % จากยอดถอนเงิน ที่จะถอนเฉลี่ยครั้งละ 500,000-600,000 บาท ซึ่งจะมีรายได้ครั้งละประมาณ 5,000–6,000 บาท ทั้งนี้ได้เริ่มทำงานตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.67
ทั้งนี้เมื่อถอนเงินสดออกมาแล้วจะฝากต่อไปยังบัญชีที่ทางผู้ใช้ชื่อบัญชีเทเลแกรม “นักทำลายใต้หว่างขา” แจ้งให้ทราบ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่ามีการถอนเงินออกในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ที่ถอนเงินสดออกมาคือนายเสาร์คำ อินยม ซึ่งถูกจับกุมตัวได้แล้ว โดยนายเสาร์คำ บอกว่าได้รับการว่าจ้างจากนายสุข ชาวเมียนมา หรือชื่อจริงว่า นาย Aug Thu Hein ที่มีหมายจับของ สภ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่อาศัยอยู่ฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเมื่อถอนเงินสดออกมาได้แล้ว นายสุข จะเดินทางข้ามมารับเงินสดด้วยตนเอง และนำเงินข้ามกลับไปฝั่งประเทศเมียนมา เพื่อส่งให้กับผู้บงการต่อไป
พลตำรวจตรีธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า จากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องการเงินอย่างเดียว ทั้งเก็บเงิน ถอนเงินจากบัญชีม้าต่างๆ และรวบรวมไปให้กับผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งที่อยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นำข้ามแดนไปให้กับกลุ่มขบวนการที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยการหลอกลวงให้ประชาชนโอนเงินให้ของขบวนการนี้นั้น จากการตรวจสอบเกือบร้อยคดีพบว่าส่วนใหญ่เป็นหลอกให้จองห้องพักโรงแรมโดยการปลอมเพจของโรงแรมจริง แต่เมื่อโอนเงินแล้วไม่สามารถเข้าพักได้จริง รวมทั้งการหลอกขายสินค้าที่ไม่ตรงปก
ขณะเดียวกันตรวจสอบพบว่ากลุ่มนี้เริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ช่วง พ.ย.67 ถึงปัจจุบันประมาณ 3 เดือน จากการตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีมูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท โดยที่ผู้กดเงินจะได้รับส่วนแบ่ง 1% และคนที่อยู่ที่อำเภอแม่สาย จะได้รับส่วนแบ่ง 1% ส่วนที่เหลือเป็นของขบวนการ ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ขยายผลการจับกุมให้ถึงตัวผู้สั่งการหรือหัวหน้าขบวนการ ซึ่งการจับกุมดังกล่าวนี้เพื่อตัดวงจรเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพราะการก่อเหตุของคนร้ายมุ่งหวังเงินเป็นหลัก ดังนั้นหากสกัดการเงินได้จะเท่ากับเป็นการหยุดการก่อเหตุไปด้วย