กำแพงเพชร - ตำรวจแจงละเอียดยิบพฤติกรรมโหด “โน้ต” มือฆ่าพ่อแม่ลูกหมกกระบะคลุมผ้าจอดบ้านร้างคลองขลุง นัดเคลียร์ขอกู้เงินแล้วโดนเบี้ยวจนทะเลาะกันแรง ใช้บีบีกันดัดแปลง .38 ยิงพ่อก่อนเรียก “เข้” ช่วยยกศพขึ้นรถ จี้บังคับสองแม่ลูกนั่งกระบะไปด้วย อ้างระหว่างทางปืนลั่นทะลุเบ้าตาเด็ก เลือดขึ้นหน้ายิงแม่ปิดปาก ก่อนขับรถหมกศพทิ้งบ้านร้าง ให้ญาติมาพาหนี แต่ยังหาผ้าคลุมรถย้อนมาอำพราง-ตามดูวันพบศพ
วันนี้ (15 ก.พ.) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อม พ.ต.อ.รัฐศรัณย์ เกตุสิงห์สร้อย ผกก.สภ.คลองขลุง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อกองทัพสื่อมวลชนที่ติดตามทำข่าวฆ่าโหด 3 พ่อแม่ลูก คือ นายวงศกร (ใหม่) หงสไกร อายุ 37 ปี, น.ส.นันทกานต์ (แจง) นาซึ อายุ 35 ปี, ด.ช.นัทกร หงสไกร อายุ 7 ขวบ (น้องซันเดย์) ที่หายตัวไปตั้งแต่ 12 ม.ค. หมกศพในรถกระบะ จอดอยู่ภายในบ้านร้างริมถนน อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร หลังพบศพวันที่ 13 ก.พ. ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันตามจับผู้ต้องหาได้
สำหรับมูลเหตุการฆ่าอำพรางศพสามพ่อแม่ลูก นายโน้ต (ผู้ต้องหา) รับว่าเกิดจากนายวงศกร หรือใหม่ ผู้ตายเคยตกลงยินยอมจะให้นายศิวกรกู้เงินจำนวน 1 แสนบาท เพื่อที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อโดรนการเกษตร เนื่องจากนายโน้ตมีอาชีพขับโดรนการเกษตร ซึ่งนายโน้ตนำโดรนเก่าไปตีเทิร์นกะบทางร้าน พร้อมวางมัดจำ 7 หมื่นบาท-ทำสัญญาจะหาเงินที่เหลืออีก 1 แสน 5 หมื่นบาทมาซื้อคืน ต่อมานายวงศกร เปลี่ยนใจไม่ให้กู้ยืม ทำให้นายศิวกรเกิดความเสียหาย จึงได้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว ส่วนประเด็นในวงเเชร์เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ตรวจสอบพบว่าไม่มีมูลเหตุเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ไทม์ไลน์นั้น วันเกิดเหตุจากคำให้การของนายโน้ต (ผู้ต้องหา) ได้นัดผู้ตายไปเคลียร์เรื่องเงิน โดยให้ผู้ตายไปรับที่บ้าน แล้วนั่งรถไปด้วยกัน ซึ่งมีการขับรถไปเรื่อยๆระหว่างทางเพื่อไปจอดรถคุยกัน จากนั้นลงไปเคลียร์นอกรถจนมีปากเสียงกัน ก่อนที่นายโน้ตจะยิงไปที่นายใหม่ 1 นัด โดยอ้างว่าใช้ปืนที่เคยไปจำนำกับนายใหม่ มาก่อเหตุ
ก่อนจะโทร.หานายเข้ หรือนายนิรุธ มาช่วยเหลือยกร่างนายใหม่ หรือนายวงศกรมาไว้ที่หลังรถ
ซึ่งขณะนั้นนางสาวแจง กับลูกชาย 7 ขวบ ยังมีชีวิตอยู่ นายโน้ต เป็นคนขับรถ โดยมีนางสาวแจง และลูกชาย นั่งอยู่เบาะข้างๆ คนขับ จนเกิดการต่อสู้แย่งปืนกัน นายโน้ตผู้ต้องหาอ้างว่าปืนเกิดลั่นถูกเด็กชาย 7 ขวบ กระสุนทะลุเข้าตาไปโดนกระจกรถ และตอนนั้นโกรธจัด จึงยิงนางสาวเเจง ผู้เป็นแม่เด็กเสียชีวิต ก่อนนำศพไปหาที่อำพราง แล้วให้ญาติมารับหลบหนี
จากนั้นนายโน้ตนำทรัพย์สินสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาทไปขายต่อที่ร้านทองในพื้นที่ อ.คลองขลุง และนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้ และไปใช้ส่วนตัว พร้อมพยายามอำพราง โดยส่งข้อความไปหาญาติผู้ตายให้ถอนเเจ้งความ และตระเวนหาผ้าคลุมรถที่ห้างสรรพสินค้ามาคลุมรถเพื่ออำพราง
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้นย้ายหรือทำลายศพ ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายโน้ต หรือศิวกร และ นายเข้-นิรุธ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยขณะที่คุมตัวออกจากห้องประชุมเพื่อขึ้นรถตู้ตำรวจ ทีมข่าวพยายามสอบถามทั้งคู่ว่าอยากจะขอโทษคนตายไหม แล้วทำไมถึงกล้าฆ่าเด็ก 7 ขวบได้ลงคอ ทำไมเมื่อวานถึงยังปากแข็งว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่ทั้งคู่ไม่ตอบอะไร ก่อนจะขึ้นรถตู้ไป ท่ามกลางญาติผู้ตายและชาวบ้านนับร้อยที่เดินทางมาสังเกตการณ์ต่างก็ตะโกนถามว่า..ทำไมถึงฆ่าเด็กได้ลงคอ และด่าทอผู้ก่อเหตุ
เมื่อเดินทางไปยังจุดที่ 1 คือ บริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ปรากฏว่าบรรดาครอบครัวผู้ตายรวมถึงชาวบ้านนับร้อย ต่างก็พากันมารุมตะโกนด่าสาปผู้ต้องหาด้วยความคับแค้นใจ โดยเฉพาะ ”นายศิริชัย“ ที่เป็นน้องชายของผู้ตายฝ่ายหญิงและเป็นเพื่อนของนายโน้ต-ศิวกร ผู้ต้องหามือยิง ก็พยายามที่จะเข้าไปหานายศิวกร ที่กำลังโดนคุมตัวทำแผนอยู่บริเวณบ้านร้าง แต่เจ้าหน้าที่กันไว้ทัน เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น
ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัว นายโน้ต-ศิวกรลงจากรถตู้ เพื่อเดินทางไปยังบริเวณบ้านร้างจุดพบศพ ทีมข่าวก็พยามสอบถามถึงสาเหตุในการฆ่าทั้ง 3 ศพเป็นเพราะอะไร และการฆ่าเด็กเป็นเหตุปืนลั่นจริงหรือไม่ รวมถึงถามว่าอยากขอโทษผู้ตายหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ ไร้ซึ่งคำขอโทษ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้รถกระบะของตำรวจแทนรถของผู้ตายไปจอดตรงจุดพบรถกระบะ แล้วให้นายโน้ต-ศิวกร จำลองเหตุการณ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจุดนี้ทั้ง 3 คนได้เสียชีวิตหมดแล้ว ก็เลยทำการปลดสร้อยของนางสาวนันทกานต์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากจุดนี้ไปฝั่งซ้ายประมาณ 800 เมตร เพื่อให้ญาติมารับกลับบ้าน รวมถึงเป็นจุดที่เจ้าตัวเอาผ้าคลุมรถมาคลุมไว้ในวันที่ 17 มกราคม 2568 เพื่ออำพรางด้วย
ระหว่างนั้นทีมข่าวพยายามสอบถามอีกครั้งถึงความรู้สึก รวมทั้งถามว่าอยากจะขอโทษไหม และสาเหตุแรงจูงใจ เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่ง และมองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่กำลังถาม แต่ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านและครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่มายืนสังเกตการณ์
และเมื่อเจ้าหน้าที่คุมตัวนายโน้ต-ศิวกร กลับขึ้นรถตู้ ทีมข่าวพยายามถามแล้วถามอีก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบอะไร
ทั้งนี้ ก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวนายโน้ต-ศิวกร ออกจากจุดบ้านร้าง พบว่าบริเวณริมถนนปากทางเข้าก็ยังคงเต็มไปด้วยกองทัพชาวบ้านและญาติของผู้เสียชีวิตที่มายืนตะโกนด่าด้วยความโกรธแค้นที่ผู้ก่อเหตุฆ่าเด็กได้ลงคอ และการตีเนียนกลับมาดูที่เกิดเหตุวันพบศพด้วยท่าทีนิ่งเฉย ถือว่าจิตใจเหี้ยมโหดมาก และพยายามจะกรูเข้าไปดูหน้า แต่ตำรวจก็กันไว้ ก็เลยกลายเป็นเหตุชุลมุนขึ้น
ต่อมาจุดที่ 2 มีการทำแผนบริเวณจุดพบเลือดกลางทุ่งนา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่นายโน้ต-ศิวกร ยิงนายวงศกร ตามพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลง แต่เนื่องจากมีบรรดาครอบครัวและชาวบ้านมารอสังเกตการณ์จำนวนมาก รวมทั้งมีการตะโกนด่าผู้ก่อเหตุเป็นระยะๆ และเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าหน้าที่เกรงว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จึงยกเลิกการทำแผนในจุดนี้
ส่วนนายเข้-นิรุธ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้พาลงทำแผนในจุดนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม เนื่องจากนายเข้-นิรุธ เปลี่ยนใจไม่ประสงค์ที่จะทำแผน เพราะกลัวจะถูกรุมประชาทัณฑ์
พ.ต.อ.เอนก จันทร์ศร รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชร เล่าพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในจุดนี้โดยสังเขป ว่าปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนบีบีกันดัดแปลงซิกซาวเออร์ .380 โดยนายโน้ต-ศิวกร ซื้อทางอินเทอร์เน็ตราคา 7,000 บาท และได้เอาไปจำนำกับนายวงศกร ในราคา 7,500 บาท
รอง ผบก.ภ.จว.กำแพงเพชรยังบอกอีกว่าจุดนี้นางสาวนันทกานต์ ได้มีการแย่งปืนจากนายโน้ต-ศิวกร รอบแรก แล้วเขวี้ยงลงคลองเล็กๆ ใกล้กับจุดที่พบคราบเลือด แต่นายศิวกรลงไปหยิบกลับคืนมาและบังคับให้นางสาวนันทกานต์กับลูกขึ้นรถไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ โดยใช้ปืนจี้
ส่วนการขายทองที่นายศิวกรชิงไปจากนางสาวนันทกานต์ ผู้เสียชีวิต น้ำหนัก 3 บาท ก็มีหลักฐานเป็นสลิปที่ทางร้านโอนเงินให้กับนายศิวกร โดยขายได้ 123,500 บาท ทางร้านโอนให้ 120,000 บาท อีก 3,500 บาทให้เป็นเงินสด
ส่วนจุดอื่นๆ อาทิ จุดยิงนางสาวนันทกานต์ และลูก รวมถึงจุดทิ้งปืน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำแผน เนื่องจากเกรงว่าครอบครัวผู้ตายและชาวบ้านจะตามมารุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา