กำแพงเพชร - คืบหน้าคดีสุดสลด ฆ่าโหดพ่อแม่ลูกหมกกระบะคลุมผ้าจอดบ้านร้างคลองขลุงแรมเดือน..คาดคนร้ายใช้ปืนบีบีกันดัดแปลงยิงหัวทั้ง 3 ศพ เชื่อมั่นได้ตัวเร็วๆนี้ ล่าสุด ตร.นำคนจำนำปืนสอบค่อนวัน
กรณีเหตุสุดสลด พบศพ 3 พ่อแม่ลูก คือ คือ นายวงศกร (ใหม่) หงสไกร อายุ 37 ปี ,น.ส.นันทกานต์ นาซึ อายุ 35 ปี ,ด.ช.นัทกร หงสไกร อายุ 7 ปี (น้องซันเดย์) ที่หายตัวไปตั้งแต่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ถูกฆ่าอำพรางในรถกระบะ จอดอยู่ภายในบ้านร้างริมถนน อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร
ล่าสุดวันนี้(14 ก.พ.) พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รอง ผบช.ภ.6 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร ยังคงประชุมติดตามความคืบหน้าในการสืบสวนเพิ่มเติม ซึ่งมีการชุดเครื่องมือค้นหาโทรศัพท์ระยะใกล้ มาใช้ในการสืบสวนสะกดรอยเส้นทางการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งได้เชิญตัวน้องชายของผู้ตาย มาสอบปากคำเพิ่มเติม ในส่วนของรายละเอียด SMS ที่ส่งเข้ามาด้วย
ส่วนผลชันสูตรศพทั้งสามคนพ่อแม่ลูก พบถูกอาวุธปืนยิงที่ศีรษะหมดทั้ง 3 ราย ส่วนจะเป็นอาวุธปืนชนิดไหนและขนาดใดนั้น ยังต้องรอผลนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่มีความเป็นไปได้ประมาณ 70% ขณะที่เฟซบุ๊กนายสุพัฒน์ ลูกพี่ลูกน้องกับนายใหม่ หรือนายวงศกร หนึ่งในผู้ตาย ได้โพสต์ข้อความว่า..ผลชันสูตรออกมารู้ว่าเป็นปืนบีบีกันแปลง คงมีไม่กี่คนหรอกมั้งที่ผมพอจะรู้จัก..
และหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนคลี่คลายคดีได้ประชุมกันนานกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รอง ผบช.ภาค 6 , พล.ต.ต.โอภาส คงเมือง ผบก.ภ.กำแพงเพชร ,พ.ต.อ.เอนก จันทร์สอน รอง ผบก.ภ.กำแพงเพชร,พ.ต.อ.รัฐศรัณย์ เกตุสิงห์สร้อย ผกก.สภ.คลองขลุง ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชน
ระบุว่า ขณะนี้ตำรวจนำบุคคลที่ต้องสงสัยความสนิทสนมกับน้องชายของผู้ตายด้วย มาสอบปากคำนานกว่า 6 ชั่วโมง โดยให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีว่า ได้เอาปืนมาจำนำกับผู้ตาย ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ก่อเหตุ โดยขณะนี้ได้นำตัวไปเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ-ตรวจร่างกายเพื่อหารอยตำหนิไว้ด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องเบอร์โทรศัพท์ปริศนานั้น ยืนยันว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนด้วยคนงานชาวพม่า และคนไทย ซึ่งเป็นบุคคลปริศนา ซื้อมาใช้ เพื่อส่งข้อความมาหาน้องชาย รวมถึงยังมีการเชื่อมโยงโทรไปหาบุคคลอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ตำรวจได้มีการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้
“อาวุธปืนทราบว่า เป็นปืนบีบีกันดัดแปลงเป็นอาวุธปืนจริง แต่เป็นปืนที่ผู้ตายเป็นผู้ครอบครองหรือไม่นั้น ในส่วนนี้ ตำรวจยังไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากตำรวจยังไม่พบปืนที่ใช้ก่อเหตุ”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเจ้าของอาวุธปืนที่นำมาจำนำกับนายใหม่ผู้ตาย ระหว่างทีค่ถูกเรียกมาสอบปากคำ ว่าเดินทางมาให้ปากคำเรื่องอะไร ก็ได้รับคำตอบเพียง ว่าตนยังไม่ใช่ผู้ต้องหา ยังไม่มีความผิด แค่เดินทางมาให้ปากคำกับตำรวจเท่านั้น
เมื่อถามว่า ได้โทรออก หรือรับสายเบอร์ปริศนาของชาวพม่าหรือไม่ ก็เผลอตอบมาว่า..ตนโทรเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว แต่พอผู้สื่อข่าวย้ำ โทรปริศนา ก็เหมือนได้สติและไม่ได้ตอบคำถามอะไรอีก พร้อมพูดสั้นๆว่า..ผมก็รู้พร้อมๆกับพวกพี่ ก่อนจะเดินเข้าห้องสอบสวนไปอีกครั้ง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดผลการสอบสวนว่ามีความเชื่อมโยงไปทางใดบ้าง