ศูนย์ข่าวขอนแก่น-เจ้าอาวาสวัดจำปาฉาว! มีภาพหลุดถ่ายภาพกับสีกาในหลายท่วงท่า โดนลงโทษแล้ว คณะสงฆ์บ้านไผ่ มีมติให้อาบัติสังฆาทิเสส ออกจากพื้นที่อ.บ้านไผ่ ทันที ล่าสุดเจ้าตัวยอมสึกแล้ว เดินก้มหน้าน้ำตาซึม ยกมือปัดขอไม่ตอบคำถามสื่อ รีบเดินขึ้นรถยนต์ลูกศิษย์พาขับหนีออกไปทันที
ภายหลังจากพระครูพิศาลจันโทภาส เจ้าอาวาสวัดจำปา บ้านสร้างแป้น ม.1 ต.บ้านลาน อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เดินทางเข้าพบกับคณะสงฆ์ภายในห้องประชุม วัดศรีบุญเรือง ชุมชนศรีบุญเรือง ม.3 ต.บ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูปริยัติสารวิสุทธิ์ จันทร์เรือง เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ในฐานะเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ รวมทั้งเจ้าคณะตำบล พร้อมด้วยนายวรรลพ วลัยศรี ปลัดอาวุโสอำเภอบ้านไผ่ กำนันตำบลบ้านลาน ผู้ใหญ่บ้านบ้านสร้างแป้น หมู่ 1, หมู่ 12
พร้อมด้วยตัวแทนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดขอนแก่น ร่วมพิจารณาดำเนินการตามวินัยของสงฆ์ ในกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพของพระครูพิศาลจันโทภาส เจ้าอาวาสวัดจำปา ถ่ายภาพเซลฟี่คู่กับหญิงในห้องพักรีสอร์ท ซึ่งขณะที่คณะสงฆ์กำลังพิจารณาตามวินัยของสงฆ์นั้น มีชาวบ้านจากบ้านสร้างแป้น เดินทางมาให้กำลังใจเจ้าอาวาสหลายสิบคน และบางส่วนต้องการให้สึกจากการเป็นพระสงฆ์ภายใน 7 วัน
พระครูปริยัติสารวิสุทธิ์ จันทร์เรือง เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ในฐานะเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ เปิดเผยว่า เหตุที่การลงโทษทางวินัยพระครูพิศาลจันโทภาส ไม่เป็นการอาบัติปาราชิกนั้น เนื่องจากวินิจฉัยตามอริยศ 2 ซึ่งมีข้อวินิจฉัยว่า ถ้าอยู่ 2 ต่อ 2 กับผู้หญิงในกรณีที่ลับตา แต่ได้ยินอยู่ ซึ่งมีบุคคลที่เชื่อถือได้มากล่าวหาว่าท่านเป็นอาบัติตั้งแต่ปาราชิกลงมา คือรับอย่างไรให้ปรับอย่างนั้น อีกกรณีอยู่ในที่ลับหู แต่เห็นอยู่ก็จะปรับตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา
กรณีที่มีภาพปรากฎนั้นเห็นได้ว่าเป็นสังฆาทิเสส ไม่มีเสร็จกิจในการสมสู่หรือการร่วมเพศ และตัวเจ้าอาวาสเองก็ไม่ได้รับด้วยเช่นกัน รับเพียงว่าเป็นภาพที่ถ่ายไว้ 3 ปีที่ผ่านมา และรู้จักกับหญิงในภาพ 4 ปี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก โดยรู้จักกันจากการไปเทศนาธรรม สนใจในธรรมก็ได้พูดคุยและรู้จักกัน ส่วนภาพที่หลุดมานั้นเจ้าอาวาสก็ไม่ทราบว่าหลุดออกมาได้อย่างไร และไม่ทราบว่าใครปล่อยภาพออกมา และไม่ยืนยันว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือไม่
“การพิจารณานั้น พิจารณาจากคำให้การของเจ้าตัวตามพระธรรมวินัย โดยมีภาพถ่ายเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา และได้ติดต่อทางฝ่ายหญิงแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่ได้ข้อเท็จจริงจากฝ่ายหญิง แต่ได้ข้อมูลจากเจ้าอาวาส ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับ เบื้องต้นนั้นเป็นทั้งอาบัติสังฆาทิเสสและเป็นอาบัติปาราชิก แต่การพิจารณาโทษเป็นมติคณะสงฆ์ร่วมกันตามพระธรรมวินัย จะแตกต่างจากกฎหมายที่จะตัดสินโดยศาล โดยมติคณะสงฆ์ได้ลงความเห็นร่วมกันว่า เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ให้ออกนอกพื้นที่ปกครองอ.บ้านไผ่ทันที” เจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ กล่าวและว่า
ในอนาคตแม้มีหลักฐานเพิ่มเติม ก็สิ้นสุดที่การสึกเช่นเดิม และหากมีหลักฐานเพิ่มต้องมีฝ่ายหญิงยอมรับว่ามีการร่วมเพศกัน จึงจะเป็นอาบัติปาราชิก และการสึกด้วยอาบัติสังฆาทิเสสก็สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่การให้โอกาส ทุกอย่างเป็นไปตามพระธรรมวินัย แต่ก็คงอีกนานถึงจะกลับมาบวชใหม่ เพราะศาสนาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาญาติโยม หลังจากนี้จะส่งรายงานต่อให้สำนักพุทธดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป