xs
xsm
sm
md
lg

กยท.หนุนตั้งตลาดกลางยางฯ เหนือล่าง ลั่นดันราคายางแผ่นเหนือ 70-ยางก้อนถ้วยไม่ต่ำกว่า 30 บาทต่อกิโลฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พิษณุโลก - กยท.หนุนตั้งตลาดกลางยางพาราโซนเหนือตอนล่าง หลังแจ้งเกิดตลาดกลางยางฯเชียงรายจนติดอันดับของประเทศไปแล้ว เผยยาง EUDR ไม่ได้เงียบ แค่เลื่อนไปปลายปี 68 พร้อมดันราคายางฯ แผ่นยืนเหนือ 70 ยางก้อนถ้วยไม่ต่ำกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม


วันนี้ (6 ก.พ. 68) ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย พร้อมนายณรงศักดิ์ ใจสมุทร รองผู้ว่าการด้านธุรกิจ และคณะผู้บริหารการยางแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมประชุมผู้ซื้อพบผู้ขายตลาดประมูลยาง กยท.จ.พิษณุโลก ที่สำนักงานการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดพิษณุโลก ต.วังดินสอ อ.วังทอง

นายปิยะ เลาหสินนุรักษ์ รักษาการ ผอ.กยท.จ.พิษณุโลก ให้การต้อนรับ และกล่าวรายงานว่า เกษตรกรชาวสวนยางพารา 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ แพร่ เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิจิตร ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ จนถึงอุทัยธานี กว่า 200 คน เดินทางมาเข้าร่วมโครงการประชุมผู้ซื้อพบผู้ขายตลาดประมูลยาง กยท.จ.พิษณุโลก

เพื่อรับฟังแนวนโยบายจากประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ทำความเข้าใจข้อตกลงในการซื้อขายผ่านตลาดกลางยางพารา (ปัจจุบันใช้ซื้อขายผ่านระบบประมูล ตลาดออนไลน์ที่จังหวัดเชียงราย) เตรียมพร้อมในฤดูกาลเปิดกรีดรอบหน้า (พฤษภาคม 68) และเข้าร่วมงานเทศกาลปิดกรีดยางพารา ปีที่ 7 ซึ่งคาดว่าจะมีเกษตรกรชาวสวนยางประมาณ 2 พันคนร่วมงานเย็นนี้

นายพรชัย แก้ววิชิต ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพารา จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ชาวสวนยางพิษณุโลกและจังหวัดรอบข้างเสนอจัดตั้งตลาดกลางยางพาราที่จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากปัจจุบัน กยท.ได้จัดตั้งตลาดกลางที่จังหวัดเชียงราย ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ ติดอันดับประเทศไปแล้วในการประมูลชื้อขายในแต่ละรอบ

แต่เกษตรกรภาคเหนือพิษณุโลกไม่สะดวกในการขนส่งยางแผ่น, ยางก้อนถ้วยขึ้นเขาไปเชียงราย จึงนำเสนอแผนโครงสร้างต่างๆ เช่น ตำแหน่งผู้ดำเนินการตลาดกลางยางพาราจังหวัดพิษณุโลกประมาณ 10 อัตรา อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ตราชั่ง, ลาน, รถตัก ฯลฯ เพื่อจัดตั้งที่อาคารอเนกประสงค์ของการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสถานที่อยู่แล้ว เพียงตั้งเป็นจุดรองรับคนประมูลซื้อและกลุ่มเกษตรกรผู้ขายยางพารา มาทำการซื้อขายที่ ต.วังดินสอ อ.วังทอง หากอนุมัติคาดว่าจะทำได้ทันที เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรบริหารยางพาราอย่างยั่งยืน สามารถขายผลผลิตในราคาเป็นธรรมและยกระดับมาตรฐานยางพารา


ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รอบ 10 ปีที่ผ่านมา กยท.ทำรายได้ (ขายผลผลิตยางพารา) เข้าประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทเศษ ปี 64 สูงสุด 2.7 แสนล้านบาท และปี 67 ทำรายได้ 3.5 แสนล้านบาท และตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เห็นรายได้ระดับ 4 แสนล้านบาทเร็วๆ นี้

จากผลผลิตยางพาราในแต่ละปีประมาณ 5 ล้านตัน ล่าสุดลดลงไปเพียง 3 หมื่นตัน ถือว่าเล็กน้อยมาก อาจเป็นผลจากภาวะภัยพิบัติ เช่น ภัยแล้ง หรือภาวะน้ำท่วม แต่เชื่อว่าสวนยางพาราปลูกใหม่จะกลับมาทดแทนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้ปริมาณผลผลิตยางพาราทั่วประเทศ 5 ล้านตันยังคงเดิม และจะผลักดันให้ราคายางแผ่นให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 70 บาทต่อกิโลกรัม ยางก้อนถ้วยไม่ต่ำกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม

“พร้อมผลักดันตลาดกลางยางพาราขนาดใหญ่ที่ภาคเหนือตอนล่าง แต่ต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ประเมินปริมาณผลผลิตยางพาราในการบริหารจัดการภายใต้ กยท. ซึ่งจะต้องบริหารจัดการในสำนักงานตลาดยางพาราแต่ละแห่ง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของผลผลิตในภาพรวม”

ด้านนายณรงศักดิ์ ใจสมุทร รองผู้ว่าการด้านธุรกิจ การยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับยาง EUDR ที่เคยขายสูงกว่าราคาปกติ 10 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันสูงเพียง 3 บาทต่อกิโลกรัมนั้น เพราะการขายผลิตภัณฑ์ยางในตลาดสากล คือ ตลาด EU เอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรที่ไม่ทำลายป่า เป็นแปลงยางที่มีเอกสารสิทธิ ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ สามารถตรวจสอบย้อนกลับว่าสวนยางไม่ได้อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์

ซึ่งปี 67 ส่งไปขายแล้ว 5-6 หมื่นตัน แต่ปลายปี 67 จนถึงปัจจุบันเงียบไป เนื่องจาก EU มีมติชะลอการรับซื้อออกไป โดยมองว่าหลายประเทศต่างๆ ยังไม่มีความพร้อม แต่คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้อีกครั้งในช่วงกลางปี 68 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (กลุ่มวิสาหกิจชุมชน) ส่วนกลุ่มผู้ประกอบรายใหญ่ขยายเวลาถึงปลายปี 68

ดร.เพิก เลิศวังพง ประธาน คกก.กยท. ย้ำทิ้งท้ายว่า ถึงยาง EUDR จะเลื่อนบังคับใช้ แต่ กยท.ก็เตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เช่น การรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร เช็กพิกัด ทำโฉนดต้นยางพารา ฯลฯ ซึ่งจะรองรับตลาดสหภาพยุโรปทันแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น