xs
xsm
sm
md
lg

เมียนายสิบทหารค่าย ร.8 ขอนแก่นร้องมูลนิธิเป็นหนึ่ง สุดทนถูกทำร้ายร่างกายนานหลายปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวขอนแก่น - มูลนิธิเป็นหนึ่งพาเมียทหารยศนายสิบ ค่าย ร.8 ขอนแก่นเข้าร้องขอความเป็นธรรมที่กระทรวงกลาโหม หลังทนไม่ไหวถูกทำร้ายร่างกายนานหลายปี ล่าสุดยังทำร้ายแม่ยายจนเลือดอาบ ยืนยันขอหย่าและให้ดำเนินการทางด้านวินัยให้เข็ด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 ก.พ.) นางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง พานางสาวเอ ภรรยาของ นายณัฐวุฒิ อิฐกอ หรือกัน อายุ 31 ปี ทหารยศนายสิบที่ทำร้ายร่างกายแม่ยายเข้าร้องขอความเป็นธรรมที่กระทรวงกลาโหม กทม. โดยมีเจ้าหน้าที่ออกมารับหนังสือร้องเรียนเพื่อรายงานและดำเนินการตามขั้นตอน โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ให้คำมั่นว่าจะทำการตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดความยุติธรรม

ภายหลัง ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง พาผู้เสียหายยื่นหนังสือเสร็จแล้วได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นภรรยาของทหารที่ทำร้ายแม่ยายได้ประสานมาหาตน มีความประสงค์ที่จะร้องทุกข์เกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง ทั้งตัวเองและแม่ ซึ่งถูกทหารรายนี้ทำร้ายร่างกายภายในบ้านของแม่ ซึ่งแม่ก็เลี้ยงลูกสาวตั้งแต่วัย 2 เดือน โดยที่ไม่ได้มีการกีดกันไม่ให้สามีมาเจอลูก และทุกครั้งที่ใช้ความรุนแรง จะไม่ใช่การทะเลาะเป็นการเดินมาแล้วตบตี คล้ายกับคนสองบุคลิก ซึ่งผู้เสียหายทนพฤติกรรมแบบนี้มาโดยตลอด


จนกระทั่งวันนี้น้องผู้เสียหายได้ประสานมาเพราะต้องการหย่ากับสามีคือทหารที่ทำร้ายตัวเองและแม่ ซึ่งจะดำเนินการใน 2 ส่วนคือทางวินัย และทางอาญา โดยทางอาญาได้มีการเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น ก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ทางด้านวินัยก็อยากจะให้ทางกระทรวงกลาโหม ดำเนินการอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นเรื่องในครอบครัว แต่ผู้ก่อเหตุสวมใส่ชุดเครื่องแบบทางราชการ ความน่าเชื่อถือก็ต้องมีมากกว่าคนทั่วไป เพราะแม้แต่ทหารซึ่งมีเกียรติเป็นข้าราชการทำร้ายคนในครอบครัวแบบนี้ประชาชนทั่วไปจะมองว่าอย่างไร จะสามารถพึ่งพาใครได้

หลังจากที่น้องประสานมาทางมูลนิธิเป็นหนึ่ง ตนเองก็ได้ประสานไปทางกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็มีการดำเนินการอย่างดีแต่เมื่อเรื่องไปถึงทางกรมหรือในพื้นที่กลับถูกกดดันจากค่ายทหารในพื้นที่ จ.ขอนแก่นมาถึงตัวน้องว่าไม่ต้องมาที่กระทรวงกลาโหมและจะมีการสั่งย้ายเดี๋ยวนั้น และพาลูกสาวไปคืนทันที แต่ทั้งนี้ก็อยากจะให้มีการดำเนินการทางวินัยด้วย และยังมีการบอกอีกว่าอย่ามาเลยนักข่าวหิวแสง พอตนเองได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่ดี ทำไมไม่ทำเรื่องไม่ถูกต้องให้มันถูกต้องตามระเบียบวินัยของข้าราชการ เชื่อว่าเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้จะมีอยู่ทั่วประเทศ

“อยากจะฝากเรื่องนี้ เพราะภรรยาทุกคนเห็นแก่ลูกสงสารลูก อยากให้ได้รับสิทธิต่างๆ ทั้งการเล่าเรียน การรักษาพยาบาล ภรรยาจึงต้องอดทน แต่เมื่อวันหนึ่งพฤติกรรมความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ภรรยาก็ทนไม่ได้ก็จะออกมาขอความช่วยเหลือในลักษณะนี้ เพราะทุกคนไม่ได้อยากทน ไม่ได้อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้”


ด้านนางสาวเอเล่าว่า ตนคบหากับสามีมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ซึ่งช่วงที่คบกันแรกๆ ก็เป็นคนดีมาโดยตลอด กระทั่งผ่านไป เข้าสู่เดือนที่ 7 ในเดือน พฤศจิกายน 2560 เริ่มมีการใช้ความรุนแรงครั้งแรกโดยใช้กำปั้นต่อยจนหน้าบวม และต่อมาปี 2565 ตนเองท้องก็ใช้ความรุนแรงมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ คล้ายกับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มีอาการทางระบบประสาทหรือถูกเลี้ยงดูมาแบบเก็บกด โดยสามีเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กถูกพ่อบังคับและตีมาตลอด ซึ่งตนเองมีลูกติด 1 คน ก็ถูกทำร้ายโดยไม่มีเหตุผลนั่งดูทีวีอยู่ดีๆ ก็ถูกเตะถูกตี แต่หากอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะเป็นอีกคนหนึ่งอารมณ์ดีพูดเพราะ แต่หันหน้าเข้าบ้านก็เหมือนเก็บกดทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว ซึ่งตนเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสามีขู่จะฆ่าลูกกับแม่

“เคยบอกสามีว่าอาจจะมีอาการทางประสาทไม่ปกติ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ยอมรับและทำร้ายดิฉันมาตลอด ดิฉันก็อดทนเพราะกลัวทำร้ายลูกกับแม่ ตัดสินใจร้องผ่านทางพี่ต้นอ้อเป็นหนึ่ง ให้เข้าช่วยเหลือ เพราะถูกทำร้ายไม่หยุดขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่มีใครช่วย ทั้งรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันกับสามีก็มองเป็นเรื่องตลก และบอกเป็นเรื่องของครอบครัวไม่อยากยุ่ง” นางสาวเอกล่าว และว่า

นายสิบทหารที่ทำร้ายร่างกายเมียและแม่ยาย
ในวันที่เกิดเหตุนั้นสามีเลิกงานไวเลยจะไปรับลูกจากบ้านแม่เพื่อพาลูกมานอนด้วยในค่าย แต่แม่ไม่ค่อยชอบและไม่ค่อยพอใจสามีเท่าไหร่ เพราะแม่ทราบพฤติกรรมของสามีมาตลอด จึงไม่ให้เอาลูกไป กระทั่งเกิดเหตุตามในคลิปที่แม่ถ่ายไว้ ตนจึงตัดสินใจที่จะหย่าขาดกับสามี จึงขอความช่วยเหลือมาที่มูลนิธิเป็นหนึ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น