แพร่ - สวีเดนนำภาคีเครือข่ายระหว่างประเทศ จับมือคนทำไม้ เปิดโครงการ LoCoForest ดันเมืองแพร่พัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรมไม้-เฟอร์นิเจอร์ แบบครบวงจรยั่งยืนลดโลกร้อน ก่อนผู้ประกอบการทั้งโรงงานแฟรรูป-โรงค้าสิ่งประดิษฐ์-โรงค้าไม้ รวมร่วมพันราย จะเจอวิกฤตขาดแคลนไม้ในอนาคต
แพร่เป็นหนึ่งพื้นที่เป้าหมายจัดการป่าไม้แบบครบวงจร พัฒนายกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์สร้างเศรษฐกิจไม้แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำกลุ่มปลูกป่า กลุ่มผู้ผลิตแปรรูป ไปจนถึงกระบวนการจัดจำหน่ายพัฒนาสู่คุณภาพมาตรฐานสากลภายใต้แนวคิดการลดสภาวะโลกร้อน
เนื่องจาก สถานการณ์ป่าไม้และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในจังหวัดแพร่ ที่มีโรงงานแปรรูปไม้ 291 กิจการ โรงค้าสิ่งประดิษฐ์ 375 กิจการ โรงค้าไม้แปรรูป 103 กิจการ ยังมีผู้ขออนุญาตแปรรูปไม้ชั่วคราวเพื่อการค้าอีก 124 ราย รวม 893 กิจการ
ซึ่งแหล่งแปรรูปและค้าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ ต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมหาศาลเกือบ 50,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ในขณะที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ ออป.ผลิตไม้สักได้จำนวน 19,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี และสวนป่าภาคเอกชนผลิตได้ 6,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี นอกนั้นเป็นไม้ซุงที่ต้องนำเข้าจากต่างจังหวัด และที่สำคัญในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามีการขออนุญาตทำสวนป่าไม้สักน้อยมาก
ในอีก 20 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมไม้ในจังหวัดแพร่ จะประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบไม้ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ ทางราชการและภาคเอกชนจำเป็นที่จะต้องหันหน้าเข้าหากันจับมือกันทำงานเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำไปพร้อมๆ กัน
ล่าสุดโครงการ LoCo Forest ประเทศสวีเดน ร่วมกับภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศได้แก่ ประเทศเนปาล สปป.ลาว เวียดนาม ไทย เอธิโอเปีย เปิดโครงการที่จังหวัดแพร่ เพื่อร่วมวางแผนพัฒนาอุสาหกรรมไม้-เฟอร์นิเจอร์อย่างยั่งยืน ผลักดันแพร่ให้กลายเป็นเมืองที่มีหมุดหมายเป็นเมืองไม้ สอดคล้องกับอาชีพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมด้วย
โดย นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานฯพร้อมด้วยนายเฟรดดริก ซิลเวอร์แบรนด์ (Fredrik Silfwerbrand) นำคณะตัวแทนจากประเทศต่างๆ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้อง เริ่มเปิดโครงการฯ ภายในสวนรุกขชาติเชตวัน “บ้านเขียว” เมื่อ 15 มกราคม ที่ผ่านมา
รุ่งขึ้น(16 มกราคม) ได้จัดเวทีทำความเข้าใจการพัฒนาโครงการร่วมกันกับคณะกรรมการป่าไม้ยั่งยืนจังหวัดแพร่ที่ห้องประชุมโรงแรมธาริต อ.เมืองแพร่ ซึ่งมีการเสนอแนวทางพัฒนาป่าไม้ในส่วนพื้นที่ของทางราชการโดยมีประชาชนมีส่วนร่วมคือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่ภายใต้การดูแลของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) ในเขตอำเภอลอง เป็นพื้นที่ส่งเสริมการปลูกไม้สักเริ่มต้น ตามโครงการฯ
พร้อมทั้งการแนะนำกลไกการทำงาน ประกอบด้วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิต หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชนภายใต้กรอบของคณะกรรมการป่าไม้ยั่งยืนจังหวัดแพร่
หลังจากนั้นได้มีการแบ่งกลุ่มย่อยระดมปัญหาอุปสรรคแนวทางทิศทางการทำงานเพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจและพัฒนาร่วมกันโดยมีทิศทางการยกระดับทั้งคุณภาพสินค้า การแก้ปัญหาภูมิอากาศหรือสภาวะโลกร้อนไปพร้อมๆกัน
ดร.ปิยะพิศ ขอนแก่น อาจารย์ประจำสาขาวิชาจัดการป่าไม้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า การประชุมความร่วมมือภายใต้โครงการ LoCo Forest จากประเทศสวีเดนและภาคีนานาชาติครั้งนี้ถือเป็นโอกาสของคนในจังหวัดแพร่ ได้มีส่วนร่วมเข้ามาพัฒนากระบวนการจัดการป่าไม้และการทำอุตสาหกรรมไม้ ห่วงโซ่ product ไม้ในจังหวัดแพร่อย่างครบวงจร
ถือเป็นความท้าทายในการต่อยอดโครงการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ครบวงจร ตั้งแต่ป่าไม้สู่พิพิธภัณฑ์ที่มีความเป็นมาตรฐานโลกในอนาคต เป็นการต่อยอดสู่การพัฒนารายได้ประชากรในจังหวัดแพร่ด้วยการสร้างมาตรฐานและนำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายในต่างประเทศได้
และนอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพมีอากาศที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้นการทำอุตสาหกรรมไม้ต้องมองเรื่องการผลิตที่มีคาร์บอนต่ำ ผลักดันให้เกิดพื้นที่สีเขียวในจังหวัดแพร่ ตอบโจทย์นโยบายการพัฒนาประเทศและสนธิสัญญานานาชาติในเรื่องของสภาวะโลกร้อน
นายสามชาย พนมขวัญ ประธานกลุ่มแพร่มูฟ ที่ได้รับการโหวตเป็นประธานคณะกรรมการป่าไม้ยั่งยืนจังหวัดแพร่ บอกว่าโครงการนี้เหมือนมากระตุ้นให้ชาวจังหวัดแพร่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งภาคประชาสังคมมีทิศทางแต่ไม่มีอำนาจไม่มีพลังพอ ดังนั้นเป็นโอกาสที่โครงการนี้จะได้หาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคราชการ ถือเป็นโชคดีที่หน่วยงานในจังหวัดแพร่มีความเข้าใจ
จากนี้ไปคงต้องมีเวทีพูดคุยกันต่อการทำไม้อย่างยั่งยืนจะมีแนวทางอย่างไรถือเป็นการบ้านให้กับคณะกรรมการที่มีกลไกร่วมภาครัฐภาคเอกชนคือคณะกรรมการป่าไม้ยั่งยืนของจังหวัดแพร่ ซึ่งโครงการนี้ไม่ได้เข้ามาส่งเสริมโดยเฉพาะเรื่องของงบประมาณแต่เป็นการกระตุ้นความเข้าใจต้องการความจริงใจ
“สวีเดนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการดำเนินการตามอาเจนด้า 2030 มุ่งทำอุณหภูมิของโลกให้ลดลง 2 องศา ภายในปี ค.ศ 2030 ในประเทศไทยเมืองแพร่จะเป็นเมืองนำร่องเรื่องนี้ ซึ่งจะทำได้หรือไม่ถือเป็นโจทก์ เป็นการบ้าน ซึ่งต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับคนทั้งจังหวัด โดยเฉพาะคณะกรรมการป่าไม้ยั่งยืนจังหวัดแพร่และเครือข่ายการพัฒนาพร้อมและต้องการคนเข้ามามีส่วนร่วมแนะนำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแผนงานโครงการต่อไป”