เชียงใหม่ - นายอำเภอป้ายแดงลุยถึงบ้าน-เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง..หญิงชาวเขาคนสะเมิงป่วยมะเร็ง-อ่านหนังสือไม่ออก ถูกหลอกกู้เงินธนาคารเป็นหนี้เกือบ 3 แสน เรียก จนท.ธนาคาร-หัวหน้ากลุ่มกู้เงินฯ-กำนัน/ผญบ.สอบถามยิบ จี้ทุกหน่วยงานให้นำชี้แจงเพื่อความโปร่งใส ยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
วันนี้ (15 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง พร้อมด้วยปลัดอำเภอหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมอำเภอสะเมิง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอสะเมิง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านตำบลบ่อแก้ว และตัวแทนจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ ลงพื้นที่บ้านของนายจอพอ จุ๊ก่อ อายุ 64 ปี และนางจันดี จุ๊ก่อ อายุ 57 ปี สองสามีภรรยาชาวบ้านสบห้วยฟาน ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ที่อ่านหนังสือไม่ออกทั้งคู่
เพื่อสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ นางจันดีที่ป่วยเป็นมะเร็ง ถูกหลอกให้เซ็นเอกสารกู้เงินธนาคารแห่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2552 จนปัจจุบันเป็นหนี้สะสมเกือบ 3 แสนบาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยัง นายดี (นามสมมติ) หัวหน้ากลุ่มสมาชิกกู้เงิน และตัวแทนเจ้าหน้าที่ธนาคาร มาสอบถามรายละเอียดการขอสินเชื่อของนางจันดี
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้พยายามสอบถามนางจันดีเพื่อความแน่ใจว่าได้เซ็นเอกสารการกู้เงินหรือไม่ นางจันดีตอบว่าเคยเซ็นเอกสารกู้เงินที่เจ้าหน้าที่ระบุว่าให้กู้เงิน 5 พันบาทที่ธนาคารแต่ไม่ได้รับเงิน 5 พันบาทแต่อย่างใด และยืนยันว่าไม่เคยถอนเงินหรือถอนเงินจำนวน 150,000 บาทเลย จนมาทราบภายหลังถูกธนาคารแจ้งว่าเป็นหนี้ธนาคารภายหลัง
ด้านนายดี (นามสมมติ) หัวหน้ากลุ่มกู้เงินได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นหัวหน้ากลุ่มกู้เงินฯ ดูแลสมาชิกหลายกลุ่ม ในส่วนของกลุ่มของนางจันดีมีสมาชิกรวมทั้งหมด 5 คน ในปี 2552 ได้ขอสินเชื่อจากธนาคารรายละ 150,000 บาท ลักษณะค้ำประกันซึ่งกันและกัน และมีการร้องขอให้สมาชิกในกลุ่มช่วยเซ็นเอกสารเพื่อให้สินเชื่อที่ขอผ่าน
โดยสมาชิกทั้งหมดมีการเซ็นเอกสารกันที่ธนาคารและนอกพื้นที่ เมื่อสินเชื่อได้รับการอนุมัติธนาคารก็จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของสมาชิกแต่ละรายอัตโนมัติ ส่วนเรื่องการเซ็นเอกสารของสินเชื่อของนางจันดี ยืนยันว่าสมาชิกทุกคนต้องเซ็นเอกสารค้ำประกันให้สมาชิกในกลุ่ม แต่เรื่องเงินของนางจันดีที่ถูกถอนออกไปนั้นตนไม่ทราบ
ขณะที่ตัวแทนเจ้าหน้าที่จากธนาคารได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า ประเด็นที่มีการแอบอ้างว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารจะเปิดบัญชีธนาคารให้นางจันดี 200 บาทนั้น ตามระเบียบเจ้าของบัญชีต้องไปเปิดบัญชีธนาคารเองที่ธนาคารเท่านั้นเนื่องจากต้องมีการเซ็นลายเซ็นสลักหลังบัญชี และเจ้าหน้าที่ต้องใช้ในการเทียบลายเซ็นขณะที่ถอนเงินทุกครั้งพร้อมกับแนบบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของบัญชี
กรณีเงิน 150,000 ที่นางจันดีกู้มาก็ต้องไปดูสัญญาเงินกู้ว่ามีใครเป็นคนยื่นเรื่องและมีใครเป็นผู้ค้ำประกัน ในส่วนของเงินที่เข้าบัญชีธนาคาร 150,000 บาท และเงินที่ถูกถอนออกจากบัญชีนางจันดี 150,000 บาท ก็ต้องไปดูเอกสารการถอนเงินว่าเจ้าตัวได้เซ็นถอนเงินเองหรือมีการลงลายมือชื่อมอบฉันทะให้คนอื่นทำธุรกรรมแทนหรือไม่ หากมีการมอบฉันทะให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็จะรู้ว่าใครเป็นคนเบิกเงินแทนนางจันดี
ซึ่งในวันนี้เจ้าหน้าที่ธนาคารไม่สามารถนำเอกสารต่างๆ มายืนยันได้ เนื่องจากเป็นเอกสารข้อมูลส่วนบุคคล ต้องให้เจ้าของบัญชีร้องขอ หรือมีหนังสือจากศูนย์ดำรงธรรมยื่นขอจึงสามารถนำเอกสารต่างๆ ออกมาแจกแจงได้
ด้านนายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง เปิดเผยว่า หลังจากมีข่าวกรณีนางจันดี ซึ่งตนเพิ่งรับตำแหน่งนายอำเภอได้ 2 วัน จึงได้เดินทางลงพื้นที่พร้อมปลัดอำเภอรับผิดชอบศูนย์ดำรงธรรมอำเภอสะเมิง เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์จากนางจันดีถึงที่บ้าน นำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
หลังสอบถามข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ได้ข้อเท็จจริงเป็นบางส่วน แต่ยังไม่เห็นเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งสัญญาเงินกู้ เอกสารการถอนเงิน 150,000 บาทของนางจันดี แต่เรื่องนี้ไม่ยากในการสืบหาข้อเท็จจริงเนื่องจากผู้จัดการธนาคารฯ ได้ยืนยันแล้วว่าการขอสินเชื่อต่างๆ จากธนาคารต้องมีการเซ็นเอกสารและค้ำประกันในกลุ่ม รวมถึงระเบียบการถอนเงินจากธนาคารมีเอกสารที่ชัดเจน
หลังจากนี้จะได้สั่งการให้ปลัดอำเภอที่รับผิดชอบศูนย์ดำรงธรรมออกหนังสือเชิญผู้จัดการธนาคาร สมาชิกกลุ่มกู้เงิน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ร้อง ไปพูดคุยที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือนางจันดี โดยได้แจ้งให้ผู้จัดการธนาคารนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินของนางจันดีและของนายจอพอ ไปตรวจสอบ ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
ขณะที่นายวรพงษ์ มีทรัพย์กว้าง อนุกรรมการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยหลังจากลงพื้นที่พูดคุยกับทุกฝ่ายแล้ว เบื้องต้นทราบว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ธนาคารได้ไปหานางจันดี พูดจาให้ยอมรับสภาพหนี้ ซึ่งคนในครอบครัวนางจันดีไม่ยอม ทำให้วันนี้นางจันดีไม่ยอมไปที่ อบต.บ่อแก้ว ตามคำเชิญของเจ้าหน้าที่เนื่องจากไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ จนในที่สุดนายอำเภอต้องมาสอบถามข้อมูลที่บ้าน
ซึ่งเจ้าตัวได้ยืนยันว่าตนเคยเซ็นเอกสารในการกู้เงิน 5 พันบาทเมื่อปี 2552 จริงแต่ไม่ได้เงิน 5 พันบาท ในกรณีเงินกู้ 150,000 ผู้ร้องได้ย้ำหลายครั้งแล้วว่าไม่เคยได้กู้เงินและใช้เงินก้อนนี้แม้แต่บาทเดียว
และหลังจากตรวจสอบเอกสารของนางจันดีพบว่าหลังบัญชีธนาคารเล่มแรกไม่มีร่องรอยลายมือชื่อของผู้ร้อง ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ว่าผู้ร้องได้รับบัญชีธนาคารหลังจากที่เงิน 150,000 บาทเข้าและออกจากบัญชีไปในวันเดียวกันเมื่อปี 2552 จึงไม่เข้าใจว่ามีการเบิกถอนเงินก้อนนี้ออกจากบัญชีได้อย่างไร และยังมีเอกสารอีกชุดหนึ่งที่ต้องใช้ควบคู่กับบัญชีธนาคารคือ สมุดคู่บัญชีเงินกู้ของนางจันดีที่ต้องได้รับคืนพร้อมกับบัญชีธนาคารหากมีการกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งสมุดคู่บัญชีเงินกู้จะแสดงรายละเอียดต่างๆ ของสถานะของผู้กู้ เช่น ยอดติดค้าง ดอกเบี้ย และการชำระค่างวด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่ธนาคารนำเอกสารการทำธุรกรรมการเงินของนางจันดีมามอบให้ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอสะเมิงก่อนถึงจะสามารถได้ข้อสรุปทั้งหมด และพิจารณาว่าจะมีการฟ้องร้องใคร