ศูนย์ข่าวขอนแก่น - “ทนายเล็ก” พาอดีตพ่อค้าแม่ค้าใน บขส.1 เข้าร้องขอความเป็นธรรมจากบิ๊กตำรวจภาค 4 หลังถูกออกหมายจับตั้งข้อหาเกินจริงโทษสูงมากคือ มั่วสุมเกิน 10 คนก่อความวุ่นวายฯ ทั้งที่เมื่อ 11 ธ.ค. 60 เดินทางอย่างสงบแค่ 5 คนเพื่อยื่นฎีกาขอให้ใช้ บขส.1 และ บขส.3 แห่งใหม่ควบคู่กันไป ขอให้มีการสอบสวนใหม่ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เผยมีหลักฐานจากภาพและข่าวจากสื่อต่างๆ ที่นำเสนอข่าววันเดินทางถวายฎีกาอย่างสงบ
วันนี้ (15 ม.ค.) เวลาประมาณ 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ชั้น 3 สำนักงานตำรวจภูธร ภาค 4 นางวรพรรณ เบญจวรกุล หรือทนายเล็ก ได้พา นางชวพร ประยูรยิ้ม หรือภัทรวัลลิ์ อิ่มชาญกรฒ์ชัย, นายดิเรก เดชวัฒนธรรม, นางสุภาพ แสงรุ้ง และ นายพรมมา ปิ่นปก เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมในการตั้งข้อกล่าวหาเกินข้อเท็จจริงของเจ้าพนักงาน สภ.เมืองขอนแก่น ต่อ พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พร้อมแนบภาพถ่าย/ข่าวการเดินทางไปยื่นถวายฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คนจากสำนักข่าวในประเทศเป็นหลักฐานเบื้องต้น
โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 มองว่าข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรค 3 มั่วสุมเกินกว่า 10 คนฯ ที่พวกตนได้รับแจ้งข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนนั้นรุนแรงเกินข้อเท็จจริง คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งที่พวกตนแค่เดินทางจะไปยื่นฎีกาไปกันแค่ 4 คน ควรจะตั้งข้อหาความผิดชุมนุมสาธารณะ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทเท่านั้น
นางวรพรรณ เบญจวรกุล หรือทนายเล็ก เล่าว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว (วันที่ 11 ธันวาคม 2560) ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนกำลังจะเดินทางไปถวายฎีกา เพื่อขอให้ใช้ บขส.ขอนแก่น 2 แห่งควบคู่กันไป เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนที่ต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะข้ามจังหวัดหรือระหว่างอำเภอ ซึ่งไม่ได้รับความสะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เนื่องจากที่ตั้งขนส่งแห่งใหม่ หรือ บขส.3 ก็อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ต้องต่อรถหลายต่อ ชาวบ้านจึงมีความประสงค์ที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นถวายฎีกาต่อในหลวง
อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าวได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเดินทางไปพบผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คน ที่กำลังเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ขณะที่หยุดพักการเดินทางอยู่ที่ อ.สีดา จ.นครราชสีมา ตำรวจ ทหารได้เจรจาพูดคุยเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คนเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น หากเดินทางกลับตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แล้ว ทางตำรวจจะไม่ดำเนินคดีใดๆ เมื่อผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนได้ฟังเหตุผลแล้ว ก็พร้อมใจกันเดินทางกลับมาจังหวัดขอนแก่น โดยมีรถทหารพากลับด้วยความปลอดภัยทุกคน
แต่แล้วจู่ๆ ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนเพิ่งมาทราบว่าทั้ง 5 คนถูกออกหมายจับข้อหา “มั่วสุมเกินกว่า 10 คน ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง” เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมานี้เอง ขณะที่หมายจับลงวันที่ 11 ธันวาคม 2560 ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อถวายฎีกาอย่างสงบ สันติ และอหิงสาปราศจากอาวุธ
นางวรพรรณกล่าวย้ำว่า หลังจากเดินทางกลับขอนแก่นตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนก็ไม่ทราบว่าตนถูกออกหมายจับ ก็ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตามปกติ จนเพิ่งมาทราบเมื่อปลายปี 2567 ว่าถูกออกหมายจับในข้อหาดังกล่าว เพราะนางชวพร ประยูรยิ้ม หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาไปแจ้งว่าเอกสารหายที่ สภ.สารภี จ.เชียงใหม่ เมื่อสอดบัตรประชาชนเข้าเครื่องตรวจสอบบัตรประชาชนแล้ว พบว่าตนมีหมายจับ จึงได้แจ้งผู้ถูกกล่าวหาคนอื่นให้ทราบ และผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คนจึงเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา แต่ก็ต้องแปลกใจที่ถูกตั้งข้อหาที่หนักเกินจริง อัตราโทษสูงมาก
นับว่ายังมีความโชคดีอยู่ เพราะมีหลักฐานที่สื่อหลายสำนักทำข่าวเอาไว้ในวันที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนกำลังเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ถวายฎีกายังอยู่ครบ การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในวันดังกล่าวต่างระบุว่าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อถวายฎีกาอย่างสงบ
ดังนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนจึงทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เพื่อขอให้มีการสอบสวนใหม่ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนจะได้รับความเป็นธรรม เพราะทั้งหมดทำเพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตน ดาราคนดังๆ เขายังรอดคดีหนักๆ ได้ทั้งที่พฤติกรรมก้ำกึ่ง
“ชาวบ้านตาดำๆ ที่เสียสละทำเพื่อส่วนรวมและหลักฐานจากภาพข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ก็ยืนยันได้ว่าไม่มีพฤติกรรมมั่วสุมหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ชาวบ้านก็น่าจะได้รับความเป็นธรรมอย่างน้อยก็ตั้งข้อหาให้ตรงกับข้อเท็จจริงก็พอใจแล้ว” นางวรพรรณกล่าว
ด้านนางชวพร ประยูรยิ้ม หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาเกินจริงที่ถูกออกหมายจับกล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 พวกตนทั้ง 5 คน ซึ่งขณะนั้นเป็นพ่อค้าแม่ค้าอยู่ที่สถานีขนส่งขอนแก่นแห่งที่ 1 เขตเทศบาลนครขอนแก่น ได้ทราบข่าวว่าจะมีการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นถวายฎีการ้องทุกข์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ เพื่อขอให้มีการใช้สถานีขนส่งสองแห่งควบคู่กันไป เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายหากบังคับให้ใช้สถานีขนส่งแห่งที่ 3 เพียงแห่งเดียว เพราะสถานีขนส่งแห่งที่ 3 อยู่นอกเมือง ไกลจากตัวเมืองมาก ในวันดังกล่าวได้มีเพียงการอ่านแถลงการณ์ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 1 แล้วมีตัวแทนไม่ถึงสิบคน ได้เริ่มเดินทางด้วยเท้าเข้ากรุงเทพฯ ทันที ไม่มีการชุมนุมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีชาวบ้านร่วมเดินทางจากสถานีขนส่งแห่งที่ 1 เพื่อไปส่งตัวแทนที่จะเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ ถึงนอกตัวเมือง โดยระหว่างเดินทางผ่านศาลหลักเมืองขอนแก่น กลุ่มตัวแทนก็ได้เข้ากราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลหลักเมืองขอนแก่น แล้วก็เดินทางต่อไปยังถนนมิตรภาพ ซึ่งในวันดังกล่าวกลุ่มชาวบ้านเดินไปส่งตัวแทนถึงถนนมิตรภาพ แล้วชาวบ้านก็เดินทางกลับ เหลือแต่ตัวแทนไม่ถึงสิบคนที่เดินเท้าต่อไปโดยมีเป้าหมายคือกรุงเทพมหานคร ในวันดังกล่าวมีรถขับตามไปส่งหนึ่งคันและต่อมารถคันดังกล่าวก็ขับกลับ ไม่ได้เดินทางไปร่วมยื่นฎีกาที่กรุงเทพฯ แต่อย่างใด
หลังจากกลุ่มตัวแทนได้เดินทางไปถึงเขตอำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร เข้าคุยและขอให้พวกตนเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น พวกตนได้ฟังเหตุผลตำรวจและทหารแล้วจึงรับปากเดินทางกลับจังหวัดขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารนำรถมาส่งยังภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพในค่ำวันเดียวกัน
ต่อมามีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบพวกตนและขอความร่วมมือว่าอย่าทำกิจกรรมใดๆ อีก ให้ต่างทำมาหากินกันไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่แจ้งข้อหาหรือดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการทำกิจกรรมในวันที่ 11 ธันวาคม 2560 พวกตนก็รับปากและต่างก็ทำมาหากินกันปกติ โดยไม่เคยทราบว่ามีการออกหมายจับพวกตนทั้ง 5 คน ในข้อหาดังกล่าวข้างต้น
นางชวพรกล่าวย้ำว่า พวกตนมีภูมิลำเนาถิ่นฐานแน่นอน ทำมาหากินค้าขายในเขตตัวเมืองขอนแก่นที่เดิมมาตลอด โดยเฉพาะ นายดิเรก เดชวัฒนธรรม, นางสุภาพ แสงรุ้ง และนายพรมมา ปิ่นปก ก็ยังอยู่อาศัยที่บ้านพักเดิม ค้าขายที่เดิม ไม่เคยย้ายไปไหน มีแค่ตนที่เพิ่งย้ายไปเปิดร้านขายของชำที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้สองสามปีเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้หลังจากวันเกิดเหตุในคดีนี้ วันที่ 11 ธันวาคม 2560 ตนก็ทำมาหากินค้าขายอยู่ที่เดิมในเขตเทศบาลนครขอนแก่นหลายปี
นางสุภาพ และนายพรมมาเองก็มีลูกค้าเป็นเจ้าหน้าที่ ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่นหลายนาย ก็ไม่เคยมีตำรวจนายใดมาแจ้งว่ามีหมายจับพวกตน ดังนั้นจึงอยากขอความเป็นธรรมให้สอบสวนคดีนี้ใหม่ตามความเป็นจริง ข้อกล่าวหาว่าพวกตนมั่วสุมเกิน 10 คนก่อความวุ่นวายให้บ้านเมืองนั้นยอมรับกันไม่ได้ มันเกินไปจากความเป็นจริงอย่างมาก