กำแพงเพชร - “เสี่ยหรั่ง” เจ้าของโรงสีใหญ่ภาคเหนือ เปิดหน้าฉะ อคส.ซ้ำอีกรอบ ครวญทำเสียหาย 1,000 กว่าล้าน-เสียภาพลักษณ์ โชว์เอกสารแฉ อคส.เบิกเงินประกันภัยไฟไหม้ข้าวปี 58 กว่า 10 ล้าน ส่ง จนท.ตรวจสต๊อกต่อเนื่อง แต่ปฏิเสธไม่ใช่ข้าว อคส. ครวญยื่นฟ้องศาลสารพัดคดี-ร้อง ป.ป.ช.ยัน “รองฯ ภูมิธรรม” เรื่องยังเงียบ
มหากาพย์ข้าวเน่าคาคลังสินค้าให้เช่า A1 บริษัท สิงห์โตทองไร้ซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 99/1 หมู่ 2 ต.ธำมรงค์ อ.เมืองกำแพงเพชร วันนี้ก้าวเข้าปีที่ 10 ยังไม่จบ ล่าสุดนายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ประธานกรรมการ บริษัทฯ นำเอกสารออกมาเปิดเผยว่าได้รับความเสียหายจากการรับฝากข้าวที่ (อคส.) ทำสัญญาเช่าคลังสินค้าไว้เมื่อปี 2557 มีปัญหายืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 10 อันอาจจะเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานของภาครัฐบางคนที่มีอำนาจในขณะนั้น
พร้อมได้พาดูกองข้าว คลังสินค้าให้เช่า A1 ที่บรรจุอยู่ในกระสอบป่านและถุงจัมโบ้ กองเรียงรายอยู่ด้านหน้าโกดังความยาวเกือบ 300 เมตร สภาพข้าวเน่าเสียเสื่อมสภาพเห็นได้ชัดเจน มูลค่าความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท แม้ว่าทางบริษัทฯ มีหนังสือถึง (อคส.) หลายฉบับเพื่อให้มาดำเนินการขนย้ายข้าวที่เน่าเสียหายออกจากพื้นที่บริษัทก็ยังเพิกเฉย
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 (อคส.) เช่าคลังสินค้า เดือนพฤษภาคม ปี 2558 เกิดเหตุไฟไหม้ในคลังหลัง A1 สร้างความเสียหายให้กับข้าวสารจำนวนหนึ่ง และทางเจ้าหน้าที่ อคส. พร้อมทั้งบริษัทประกันภัยได้ร่วมกันตรวจสอบ-ขนย้ายข้าวออกมากองไว้ด้านนอกคลังประมาณ 6,000 ตัน ข้าวสารจำนวนที่เสียหายนั้น (อคส.) ได้เบิกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยไปแล้ว 10 กว่าล้านบาทเศษ ตามหนังสือที่ประกันภัยได้ทำหนังสือแจ้งมายัง (อคส.)
ต่อมาปี 2563 (อคส.) ประมูลขายทั้งโกดังรวมทั้งซากกองข้าวหน้าโกดังที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ ให้เอกชนรายหนึ่ง ระบุเป็นข้าวชนิดเข้าสู่อุตสาหกรรม ที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ (หรือเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน, ปุ๋ย) ผู้ประมูลขนย้ายข้าวในคลังหมดแล้ว ก็ได้ขนข้าวที่กองอยู่ด้านหน้าคลัง ที่ไม่ถูกไหม้แต่ได้รับผลกระทบจากน้ำดับเพลิงบางส่วน ยังเหลืออีกประมาณ 2,000 ตัน (ตามบัญชี เช็กสต๊อกประจำปีขององค์การคลังสินค้า) ตามภาพที่ปรากฏอยู่ขณะนี้
นายมนต์ชัยเปิดเผยต่อว่า แปลกใจมากหลังทราบว่า อคส.ตอนนี้ได้อนุมัติยกเลิกการซื้อขายให้กับบริษัทผู้ชนะการประมูลไปแล้ว ดูแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบการทำงานขององค์การคลังสินค้า เพราะว่าการทำสัญญาซื้อขายข้าวสารแล้วไม่สามารถที่จะยกเลิกให้กับภาคเอกชนได้
เมื่อทำสัญญาซื้อขายแล้วก็ต้องขนสินค้าออกไปให้หมด ยิ่งเป็นกรณีที่ซื้อขายในรูปแบบของอุตสาหกรรมพลังงานด้วยแล้วไม่มีทางใดที่จะยกเลิกได้เลย เพราะการประมูลซื้อเป็นชนิดใช้ทำพลังงาน จะถูกกว่าข้าวทุกชนิด ที่รัฐได้นำมาประมูลขายออก คือชนิดที่ประมูลเป็นอุตสาหกรรมพลังงาน (ห้ามนำไปให้คนและสัตว์บริโภค) จะเอาไปใช้ผลิตเป็นปุ๋ย ผลิตเป็นเอทานอล หรือนำไปเผาเป็นพลังงานผลิตกระแสไฟฟ้า
เพราะฉะนั้นจะไม่มีเหตุผลใดที่ยกเลิกให้กับผู้ประมูลได้ทุกกรณี อันนี้ขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบ กรณีการยกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวให้กับภาคเอกชนในครั้งนี้ด้วยว่าผู้บริหารคนไหนเป็นผู้ลงนามในขณะนั้น
ประเด็นที่สอง ที่เกิดความเสียหายในช่วงเวลานั้นกับผู้บริหารคนเดียวกัน คือขณะนั้นบริษัทได้ทำหนังสือแจ้งขอให้ขนย้ายข้าวออกจากนอกคลังสินค้า ซึ่งกีดขวาง บริษัทขาดประโยชน์ในการใช้พื้นที่ และกองข้าวเน่ายังทำให้บริษัทเสียภาพลักษณ์ แต่ทำไมผู้บริหารคนดังกล่าวกลับทำหนังสือตอบกลับมาว่าไม่ใช่ข้าวขององค์การคลังสินค้า ข้าวอันนี้เป็นข้าวของบริษัท ที่บริษัทส่งคืนกรณีข้าวสารที่เหลือจากการบรรจุถุง คืนเข้าคลังแล้วเกิดเสื่อม
ซึ่งกรณีรับคืนข้าวสารบรรจุถุงคืนเข้าคลังกลางนั้น จะมีบริษัทเซอร์เวเยอร์ และหัวหน้าคลังของ อคส.เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและเป็นผู้รับผิดชอบคุณภาพข้าว จำนวนและปริมาณข้าวทั้งหมด ขณะที่คลังหลัง A1 นี้เป็นคลังสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิ์ถือกุญแจประตูคลัง และไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนของความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหลังจากเซอร์เวเยอร์และหัวหน้าคลังได้รับมอบแล้ว
บริษัทมีหนังสือถามไปอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ข้าวขององค์การคลังสินค้า ก็ขอให้ อคส.ตอบหนังสือยืนยันมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ อคส.ตอบกลับมาใหม่ว่า ขอตรวจสอบอีกครั้ง จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้คำตอบว่าจะมาขนย้ายเมื่อไหร่
แต่ระหว่าง 9 ปีเศษที่ผ่านมานั้น อคส.จะมีการเช็กสต๊อกสินค้าคงเหลือประจำปี ปีละ 2 ครั้งในรอบเดือนเมษายนหนึ่งครั้ง และในรอบเดือนตุลาคมอีกหนึ่งครั้ง ถ้าไม่ใช่ข้าวของ อคส. แล้วทำไมจึงต้องมาตรวจสอบสต๊อกคงเหลือถึงปีละสองครั้งตามหนังสือการตรวจสอบสต๊อกคงเหลือ
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ (อคส.) มาตรวจสอบสต๊อกคงเหลือตามบันทึกตรวจนับได้ประมาณ 20,000 กระสอบ มูลค่าความเสียหายก็ไม่ต่ำกว่า 30 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นความเสียหายของภาครัฐที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้บริหาร อคส. ณ ขณะนั้น จึงขอวิงวอนให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาตรวจสอบความเสียหายซึ่งเป็นทรัพย์สินของรัฐและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวด้วย
กรณีทั้งหมดนี้ส่งผลต่อบริษัทขาดประโยชน์ในการใช้สอยพื้นที่ และยังเสียภาพลักษณ์ของบริษัทอีกด้วย เนื่องจากคู่ค้าจากต่างประเทศเดินทางมาเยี่ยมชมโรงงาน เห็นข้าวที่กองเน่าเสียหายอย่างนี้ ทำให้บริษัทเสียภาพลักษณ์ ปัจจุบันบริษัทสิงห์โตทองฯ ได้ยื่นฟ้ององค์การคลังสินค้าต่อศาลปกครองกลาง จำนวน 8 คดีด้วยกัน มูลค่าความเสียหายจำนวน 1,030 ล้านบาทเศษ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ทำหนังสือร้องถึง ป.ป.ช.ประจำจังหวัดกำแพงเพชรไปแล้วสองครั้ง เพื่อขอให้ลงพื้นที่มาตรวจสอบความเสียหายในที่เกิดเหตุด้วยเรื่องก็เงียบ รวมทั้งได้มีหนังสือยื่นถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีได้รับความเสียหายจากการกระทำขององค์การคลังสินค้า (อคส.) อีกทางหนึ่งด้วย