ตราด - จังหวัดตราดพร้อมเดินหน้าผลักดันการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวในปี 2568 หลังตลอดปี 67 ที่ผ่านมาได้เปิดโต๊ะเจรจาจับคู่ธุรกิจการค้าไทย-กัมพูชาจนสำเร็จ ดันยอดลงทุนทะลุ 120 ล้าน พร้อมเปิดเส้นทาง R-10 เชื่อมท่องเที่ยวทางน้ำไทย-กัมพูชา-เวียดนาม
นางวรัญญา ถนอมพันธุ์ พาณิชย์จังหวัดตราด เผยถึงผลการดำเนินงานเพื่อเชื่อมโยงการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนของ จ.ตราด และยกระดับสินค้าผ่านแดนภาคตะวันออกเพื่อประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ช่วงปี 2567 ที่ผ่านมาว่า ประสบผลสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้จากการจัดอบรมในหัวข้อ The New Gen Entrepreneur To Be Potential In Marketing ระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค.2567 เพื่อสร้างความรู้ให้ผู้ประกอบการทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อให้มีความรู้ในการทำธุรกิจร่วมกับห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade) และให้สามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนในพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี
จนสามารถเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและกัมพูชาได้มากถึง 8 คู่ มูลค่าการลงทุนร่วมกว่า 120 ล้านบาท และพาณิชย์จังหวัดตราด ยังได้จัดทำอี-แคตตาล็อก ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และกัมพูชา เพื่อใช้เป็นสื่อที่จะสามารถซื้อขายสินค้าได้ทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อมูลค่าการชายแดนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
“ในฐานะที่ภาคตะวันออกเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าที่สำคัญของประเทศไทย การสนับสนุนให้มีการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและสินค้าผ่านแดนของภาคตะวันออก รวมทั้งการยกระดับศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจจาก Local Entrepreneur สู่การเป็น International Smart Entrepreneu จึงถือว่ามีความสำคัญ”
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่ 19 ธ.ค.2567 นายพีระ เอียมสุนทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ยังได้เป็นประธานและสักขีพยานในการบันทึกข้อตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการกัมพูชาทั้งใน จ.บันเตียเมียนเจย พระตะบอง ไพลิน โพธิสัต และเกาะกง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและเชื่อมโยงเศรษฐกิจระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกสู่นานาชาติได้อีกด้วย
นอกจากนั้น จ.ตราด ยังได้มีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจท่องเที่ยวกับ TCEB และ PATA จนส่งผลดีต่อการเปิดพื้นที่ จ.ตราดสู่เส้นทางท่องเที่ยว R-10 ที่จะสามารถสร้างรายได้จากการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทางน้ำใน 3 ประเทศประกอบด้วย ไทย กัมพูชา และเวียดนาม
โดยก่อนหน้านี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์กรมหาชน) หรือทีเส็บ TCEB ยังได้ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปชิฟิก (PATA) นำเอเยนซีท่องเที่ยวในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ประกอบการไทย 60 บริษัทและผู้ประกอบการกัมพูชา 50 บริษัท เข้าร่วม
เพื่อสนับสนุนให้ จ.ตราด เป็นประตูทั้งขาเข้าและออกของนักท่องเที่ยวผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ตามเส้นทางสาย R-19 ตามนโยบายของจังหวัดที่พยายามผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนให้จังหวัดเป็นประตูทางการท่องเที่ยว
สอดรับการเปิดเผยของ นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า จ.ตราด มีตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพื้นที่ในปี 2567 มากเกือบ 2 ล้านคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ส่งผลให้ จ.ตราด มีรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 มากกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท และเชื่อว่าในปี 2568 ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าพื้นที่ย่อมมากขึ้นอย่างแน่นอน จากมาตรการส่งเสริมการค้าและการลงทุน รวมถึงการเปิดตลาดเส้นทางท่องเที่ยวทางน้ำตามนโยบายการพัฒนาเส้นทางแนวชายฝั่งทะเลตอนใต้ หรือ R-10 ของประเทศไทย-กัมพูชา-เวียดนาม (Southern Coastal Economic of Corridor)
รวมทั้งเส้นทาง CVTEC อันประกอบด้วย จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เชื่อม จ. เกาะกง สีหนูวิลล์ กัมปอต แกป ของกัมพูชา และ จ.เกียนยาง กาเมา ของเวียดนาม ภายใต้คอนเซ็ปต์ 1 Market 3 Destination หรือมาที่เดียว (ตราด) แต่ไปได้ถึง 3 ประเทศ