สมุทรสงคราม - ชาวสวนลิ้นจี่แม่กลอง ขอเจ้าหน้าที่รัฐให้ความรู้เรื่องการดูแลต้นลิ้นจี่ตั้งแต่เริ่มออกดอก หลังอากาศหนาวเย็นทำให้คาดว่าปีนี้ลิ้นจี่ให้ผลผลิตเยอะแน่
นายชัยยันต์ เจียมศิริ ประธานคณะผู้ปฏิบัติงานเครือข่ายสภาเกษตรกรอำเภออัมพวา เผยว่า ที่ผ่านมาได้มีประชุมเกษตรกรชาวสวนลิ้นจี่ กว่า 20 ราย เพื่อเตรียมวางแผนจัดการกรณีลิ้นจี่ให้ผลผลิต เนื่องจากอุณหภูมิในสวนช่วงนี้ประมาณ 18-20 องศาเซลเซียส ติดต่อกันกว่า 1 สัปดาห์แล้ว ทำให้ต้นลิ้นจี่ที่ชอบอากาศเย็นเริ่มแทงช่อดอก เกษตรกรเริ่มมีความหวังว่าปีนี้ลิ้นจี่น่าจะให้ผลผลิตออกมาในปริมาณค่อนข้างมากแน่ หลังจากไม่ให้ผลผลิตติดต่อกันมาแล้ว 2 ปี
โดยที่ประชุมเห็นชอบระยะสั้นหรือช่วงนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ประชุมเกษตรกรที่มีสวนลิ้นจี่เพื่อให้ความรู้ เรื่องการดูแลต้นลิ้นจี่ด้วย ส่วนระยะต่อไปถ้าลิ้นจี่ติดผลแล้ว การนำผึ้งมาปล่อยในสวนให้ช่วยผสมเกสร สำนักงานเกษตรและชาวสวนต้องช่วยกันรวบรวมข้อมูลผู้เลี้ยงผึ้งให้ชัดเจนว่ามีกี่ราย และจะมาวันไหนเพื่อให้ อบต. ผู้ใหญ่บ้าน และกำนันในพื้นที่ช่วยกระจายข่าวให้ทั่วถึง พร้อมขอความร่วมมือชาวสวนให้งดใช้สารเคมีก่อนนำผึ้งมาปล่อยอย่างน้อย 5 วัน ไม่เช่นนั้นชาวสวนไม่ทราบว่าจะมีการปล่อยผึ้งยังคงฉีดสารเคมี ผึ้งจะตายทำให้ผู้เลี้ยงผึ้งได้รับความเสียหาย
นายชัยยันต์ กล่าวว่า หากจังหวัดจะมีการจัดงานสนับสนุนการจำหน่ายลิ้นจี่ ขอให้ประสานเกษตรกรที่มีสวนลิ้นจี่จริงๆ ไปร่วมหารือ ไม่ใช่เอาหน่วยงานราชการไปคุยตกลงกันเองอย่างที่ผ่านมา เพราะจัดแล้วชาวสวนไม่ได้ประโยชน์อะไร เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ทราบแล้วว่าสามารถเข้าไปในสวนซื้อและกินลิ้นจี่สดๆ เก็บจากต้นได้บรรยากาศกลิ่นอาย
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการรวบรวมข้อมูลว่าแต่ละพื้นที่มีผลผลิตลิ้นจี่มากน้อยแค่ไหน และจะต้องจัดการตลาดแบบไหนอย่างไรจึงจะเหมาะสม เช่น พื้นที่ อ.อัมพวา ชาวสวนเห็นว่าควรจัดงานที่วัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ เพราะอยู่ในเส้นทางที่ผ่านสวนลิ้นจี่ก่อนมาถึงวัดหลายทาง สร้างความน่าสนใจให้นักท่องเที่ยวแวะชม ชิม และซื้อลิ้นจี่ก่อนจะมากราบไหว้พระที่วัดเป็นจุดขายให้นักท่องเที่ยวได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังขอให้มีรถตู้คอนเทนเนอร์ เข้ามารับลิ้นจี่ส่งขายต่างประเทศด้วย เพราะการขายหน้าสวนอย่างเดียวต้องรอวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ลิ้นจี่สุกเร็วพร้อมกัน ถ้าระบายไม่ทันจะเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตชาวสวนอยากให้มีการจัดการศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลการแก้ไขปัญหาลิ้นจี่แทงช่อดอกแต่ไม่ติดผลให้ชาวสวนทราบ รวมถึงภาครัฐควรมีมาตรการชดเชยช่วงที่ลิ้นจี่ไม่ออกผล เนื่องจากชาวสวนมีค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงงานดูแลต้นลิ้นจี่ตลอดทั้งปี หากไม่มีผลผลิตก็ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว
สำหรับ จ.สมุทรสงคราม ปัจจุบันมีต้นลิ้นจี่ส่วนใหญ่ “พันธุ์ค่อม” ซึ่งรสชาติดีที่สุด เหลืออยู่เพียง 5,097 ไร่ จากที่เคยมีกว่าหมื่นไร่เมื่อหลายปีก่อน และยังมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนลิ้นจี่จึงไม่ให้ผลผลิต ชาวสวนจึงตัดสินใจโค่นต้นทิ้งอย่างไม่เสียดายแล้วหันไปปลูกไม้ผลชนิดอื่นที่ให้ผลผลิตดีกว่าทดแทน เช่น ส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ และมะพร้าวน้ำหอม ทำให้ลิ้นจี่ผลไม้ขึ้นชื่อของ จ.สมุทรสงครามเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ได้