สมุทรสงคราม - อีกหนึ่งสนามการเลือกตั้ง นายก ส.อบจ.สมุทรสงคราม น่าจับตามอง หลัง 4 ขาใหญ่เปิดศึกชิงนายก อบจ.แม่กลอง แม้ไร้บ้านใหญ่หนุน แต่ส่อแข่งเดือด แต่ละคนอยู่ในแวดวงการเมืองท้องถิ่นมาอย่างนาวนาน
เลือกตั้งนายก และสมาชิกสภา อบจ.พร้อมกันทั่วประเทศ ต้องบอกว่าครั้งนี้น่าจับตามองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะตำแหน่งนายก อบจ.ไม่ใช่เพียงแต่จังหวัดใหญ่ๆ หรือจังหวัดที่มีบ้านใหญ่ดูแลเท่านั้น สมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กๆ และมีประชากรไม่ถึง 2 แสนคน ก็เป็นที่หมายปองไม่เพียงแต่นักการเมืองท้องถิ่นซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ปัจจุบันพรรคการเมืองบางพรรคให้ความสนใจอยากได้ไว้เป็นบริวาร เป็นฐานเสียง เพราะเป้าหมายคือการได้เพิ่มจำนวน ส.ส.เพื่ออำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาล จึงให้การสนับสนุนผู้สมัครอย่างเปิดเผยในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้กันอย่างคึกคัก
สำหรับสมุทรสงคราม แม้จะเป็นจังหวัดเล็กและยังไร้บ้านใหญ่เข้ามาดูแล แต่การต่อสู้แข่งขันก็ดุเดือดทุกครั้ง แต่เป็นการต่อสู้แข่งขันกันตามเทคนิคและกลยุทธ์ของผู้สมัครแต่ละคน โดยตำแหน่งนายก อบจ.ครั้งนี้มีผู้สมัครวันแรกถึง 4 คน บางคนแม้จะหน้าใหม่แต่มีคนในตระกูลเดียวกันเคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้มาก่อนจึงต้องการสืบทอด บางคนมีอาชีพนักการเมืองอย่างเดียว คือลงสมัครเกือบจะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ทั้ง ส.ว. ส.ส. นายก อบจ.แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านในยามที่การเมืองสนามใหญ่หมดหน้าเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การรับสมัครทั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ.ยังมีต่อไปจนถึงวันที่ 27 ธ.ค.2567
ส่วนการจับสลากวันแรก ผลปรากฏว่า เบอร์ 1 ได้แก่ น.ส.กาญจน์สุดา ปานะสุทธะ อดีตนายกที่เพิ่งครบวาระ ครั้งที่แล้วจับมือกับนายบำเพ็ญ รอดรัศมี น้องชาย น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงครามหลายสมัยให้เข้ามาเป็นทีมบริหาร ก่อนจะมาเป็นไม้เบื่อไม้เมากันภายหลัง สามารถโค่นนายพิสิฐ เสือสมิง อดีตนายกที่เพิ่งครบวาระขณะนั้นมาได้ไม่ถึง 2 พันคะแนน ครั้งนี้บอกว่า “มั่นใจฐานคะแนนมีอยู่ทั่วไปทุกกลุ่มทุกอาชีพเพราะเป็นนายกมา 4 ปี เชื่อว่ามีผลงานที่ชาวสมุทรสงครามให้ความไว้วางใจเลือกให้กลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง มีสโลแกนว่า “ขอให้มั่นใจ สานงานต่อเพื่อชาวสมุทรสงคราม”
เบอร์ 2 น.ส.นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย “เก่ง” รายนี้แม้จะหน้าใหม่ แต่คุณพ่อเคยนั่งเก้าอี้นายก อบจ.นี้มาแล้ว 2 สมัย และยังมีน้องชายเป็น ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาชน จึงได้รับการสนับสนุนจากพรรคส้มอย่างเต็มที่ มีสโลแกน “เปลี่ยนสมุทรสงคราม สร้างและส่งต่อบ้านเมืองที่ดีให้ลูกหลานของเรา” ความหมายคือ ความตั้งใจ ทีมงาน ที่ปรึกษา เป็นคนรุ่นเก่ามีประสบการณ์ทำงานเพื่อบ้านเมืองมานาน ผสมผสานกับคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์และพลังที่จะสร้างบ้านเมืองที่ดีได้แน่นอน ฐานเสียงนอกจากคนรุ่นใหม่แล้วยังได้บารมีคุณพ่อและน้องชาย เจ้าตัวจึงมั่นใจว่าจะคว้าเก้าอี้นายกสมัยนี้มาได้สำเร็จ
เบอร์ 3 น.ส.สุกัญญา เสาวสาร “เจ๊ต้อย” ภรรยานายพิสิฐ เสือสมิง “เสี่ยเล็ก” อดีตนายก อบจ.สมัยที่แล้ว ครั้งนี้ส่งภรรยาลงทวงเก้าอี้คืน แม้เคยเป็น ส.อบจ.มาแค่สมัยเดียว แต่ประสบการณ์ไม่น้อยเลย ฐานเสียงส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสตรีและผู้ประกอบการโอทอปต่างๆ อีกทั้งบารมีของเสี่ยเล็กสามี เพราะเคยเป็นนายก อบจ.นานถึง 9 ปี (เหตุ คสช.) จึงมีโอกาสได้เรียนรู้งาน ทำให้มีประสบการณ์ที่ไม่เป็นรองใคร ลงสมัครครั้งนี้แม้ไม่มีทีม ส.อบจ. แต่มีสามีร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่คอยช่วยเหลือวางแผนให้ เพราะเสี่ยเล็กคงไม่ยอมให้ภรรยาต้องเพลี้ยงพล้ำง่ายๆ แน่ สโลแกนคือ “การศึกษาต้องดี สุขภาพต้องแข็งแรง รายได้ต้องมี”
และนายเจษฎา ญาณประภาศิริ ที่ชาวสมุทรสงคราม เรียกกันว่า “ส.จ.กอล์ฟ” ตามชื่อเล่น รายนี้นอกจากจะเป็นอดีตประธานสภา อบจ.ที่เพิ่งครบวาระแล้ว ยังเคยเป็นสมาชิกสภา อบจ.หลายสมัย ทำให้มีประสบการณ์สูงคนหนึ่ง ที่สำคัญสามารถรวบรวม ส.อบจ.เก่าจาก 24 เขตไว้ในทีมมากถึง 16 คน ฐานเสียงนอกจากลูกทีมแล้ว ยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหาร อปท.บางส่วนที่คุ้นเคยสนับสนุน ดังนั้นโอกาสที่จะได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก สโลแกนคือ “สมุทรสงคราม รุ่นเราสานต่อ”
ดังนั้น ที่บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ 4 ขาใหญ่ส่อแข่งเดือด คงไม่เกินจริง เพราะแต่ละคนอยู่ในแวดวงการเมืองท้องถิ่นมาอย่างนาวนาน อีกทั้งประสบการณ์โชกโชน โอกาสของทุกคนที่จะได้เข้าไปนั่งเก้าตัวนี้จึงสูสีกัน ผลคะแนนที่ได้ ณ วันนี้คงไม่ห่างกันมากนัก จึงอยู่ที่เทคนิคและกลยุทธ์ว่าของใครจะได้ผลมากกว่ากัน อย่างนี้ กกต.คงต้องเหนื่อยแน่หากอยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และโปร่งใส
ด้าน น.ส.มนัสนันท์ วิทนา ผอ.กกต.ประจำ จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 จ.สมุทรสงคราม มีจำนวนประชากร 186,379 คน ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ณ วันที่ 26 พ.ย. 67 จำนวน 149,082 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ ทาง กกต.สมุทรสงคราม จะพยายามรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิให้มากที่สุด โดยตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ และบัตรเสียไม่เกิน 2 เปอร์เซ็นต์
