นครสวรรค์ – โลกโซเชียลฯวิจารณ์กันสนั่น..สองสาวจิกหัวตบกันคาโรงพยายาลนครสวรรค์ หลังมีปากเสียงปมน้องชายวัย 18 ทำลูกสาวคู่กรณีวัย 15 ปีท้อง เจรจานัดผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้วผลัดวันประกันพรุ่ง จนถึงกำหนดคลอด ตกลงกันไม่ได้ พอเจอหน้ากันใน รพ.ยังถากถางต่อ ก่อนดักรอลงมือหน้าตึก บรุษพยาบาลต้องห้ามศึกกันวุ่น
ขณะนี้โลกโซเชียลฯ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ กรณีเกิดเหตุทะเลาะวิวาทตบตีกัน ระว่าง 2 หญิงสาว บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ อ.เมืองนครสวรรค์ โดยมีข้อมูลระบุว่า หญิงสาวคู่ทั้งได้ไปเยี่ยมหญิงคลอดลูกที่โรงพยาบาลดังกล่าวในเวลาเดียวกัน แล้วเกิดมีปากเสียงกระทบกระทั่งกัน
จนถึงขั้นมีการมาดักรอกันอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล เพื่อเคลียร์ปัญหา และจบลงด้วยการลงไม้ลงมือตบตีกันชุลมุนวุ่นวาย กระทั่งมีบุรุษพยาบาลมาเห็นเหตุการณ์ และเข้าห้ามปราม ก่อนจะรีบประสานแจ้งให้ตำรวจท้องที่มารับตัวไปดำเนินคดีตามกฏหมาย เมื่อเวลา 21.10 น. ของวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบข้อมูล ทราบตัวหญิงสาวที่ปรากฏอยู่ในคลิปทั้ง 2 ราย ฝ่ายส่วเสื้อแดงมุมขวา คือ น.ส.อรอนงค์ อายุ 28 ปี ส่วนฝ่ายเสื้อขาว คือ น.ส.พัชรี อายุ 42 ปี ทั้งคู่เป็นชาว อ.เมืองนครสวรรค์
จากการติดต่อพูดคุยกับ น.ส.พัชรี สาวเสื้อขาว เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้รับการเปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ ตนได้ไปเยี่ยมและอยู่เฝ้าลูกสาวคนเล็ก วัย 15 ปี ที่ต้องพักฟื้นหลังจากคลอดลูกอยู่ในโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ส่วนหญิงคู่กรณี ก็ได้มาเยี่ยมลูกสาวตนด้วยเช่นกัน แต่เขามาในฐานะเป็นพี่สาวของฝ่ายชาย ที่มาทำลูกสาวคนเล็กของตนท้อง
จุดเริ่มต้น มันเกิดจากการที่ตนจะเอาเรื่องดำเนินคดีกับน้องชายของคู่กรณี ฐานพรากพรหมจรรย์ลูกสาวคนเล็กก่อนวัยสมควร แต่ฝ่ายหญิงคู่กรณีก็ได้มีการมาขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องน้องชายเขา พร้อมกับขอยื้อด้วยการขอเวลาในการเก็บเงินเก็บทอง เพื่อมาทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือกันเป็นเรื่องเป็นราวอย่างจริงจัง
แต่ในห้วงเวลานี้ ก็เริ่มมีเรื่องกระทบกระทั่งกับหญิงคู่กรณีมาตลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะโดนพูดจากระเนะกระแหน แต่ที่รับไม่ได้สุดๆ คือการมาผลัดวันประกันพรุ่ง ขอเลื่อนนัดให้น้องชายมาทำพิธีผูกข้อมือลูกสาวตามประเพณี โดยอ้างว่า เงินยังไม่พร้อม จะขอทำงานรับจ้างอีกสักระยะหนึ่งก่อน จนกระทั่งลูกสาวของตนถึงกำหนดคลอด ก็จะมาเจรจาขอเอาเด็กไปเลี้ยงดู แต่ตนไม่ยอม จนสุดท้ายมาเกิดเหตุการณ์ตบตีกันขึ้นที่โรงพยาบาล แต่ขอยืนยันว่า ตนเป็นฝ่ายเสียหายที่ถูกกระทำ
น.ส.พัชรี ได้โชว์รอยบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และเปิดรอยแผลแตกที่ศีรษะให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับระบุว่า ขณะนั้น เป็นช่วงหมดเวลาเยี่ยม ตนจึงเดินทางกลับบ้านพร้อมกับลูกสาวคนโต แต่เมื่อลงจากตึกมาถึงที่หน้าโรงพยาบาล จู่ๆ ก็มาพบกับคู่กรณีที่มาดักรอตน ซึ่งได้มีความพยายามจะให้ตนออกไปหาข้างนอกโรงพยาบาล เพื่อพูดคุยเจรจาในเรื่องขอเด็กไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านของเขา
แต่ตนรู้สึกกลัวจะไม่ปลอดภัย เพราะทางฝ่ายนั้น พาเพื่อนมาด้วย 3 คน จึงพยายามบ่ายเบี่ยงไม่พูดคุย จนเกิดการยื้อยุดแล้วถูกคู่กรณีลงมือทำร้ายตามที่ปรากฏในคลิป โดยมีลูกสาวคนโตบันทึกคลิปเหตุการณ์เอาไว้เป็นหลักฐานก่อนไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ และทางตำรวจเรียกคู่กรณีให้มาพบกับพนักงานสอบสวนในวันจันทร์ที่จะถึงนี้(23 ธ.ค.) ซึ่งตนจะใช้โอกาสดังกล่าว ไปแจ้งความผิดกับน้องชายของเขา ในข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วยอีกคดี เพราะในช่วงที่ถูกตบชุลมุน ทางฝ่ายนั้น ได้มีการพูดท้าทายให้ไปแจ้งความ พร้อมกับบอกว่า จะไม่มีการผูกข้อไม้ข้อมือเนื่องจากได้ให้น้องชายของเขาหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว
ต่อมาผู้เสื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของ น.ส.อรอนงค์ คู่กรณี ในพื้นที่ ต.บ้านมะเกลือ อ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็ได้เปิดใจยอมรับว่า น้องชายไปพรากผู้เยาว์ทำลูกสาวของ น.ส.พัชรี จนท้องจริง แต่มันเกิดจากการสมัครใจคบหากันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้มีการไปบังคับข่มชืน
ส่วนการที่เธอต้องออกมาช่วยเหลือน้องชายไม่ให้ถูกดำเนินคดีนั้น น.ส.อรอนงค์ ระบุว่า รู้สึกสงสารและเป็นห่วงอนาคตของน้องชาย เพราะอายุเพิ่ง 18 ปี จึงไปพูดขอร้องกับอีกฝ่ายไม่ให้เอาเรื่องก่อนจะมีการเจรจากัน ในการทำพิธีผูกข้อมือตามประเพณี โดยฝ่ายหญิงคู่กรณี ได้มีการเรียกเงิน 1 แสน พร้อมกับทองอีก 2 บาท
น.ส.พัชรี ยังเปิดเผยด้วยว่า ครอบครัวตนก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร และยังมีลูกอีกคนที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งตนก็มีอาชีพรับจ้างทำการเกษตรทั่วไปเท่านั้น แต่ก็ยอมรับว่าเป็นห่วงน้องชาย จึงพยายามเก็บเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง ในการช่วยเหลือน้องชาย แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว จนต้องมีการไปพูดคุยไกล่เกลี่ยกันอีกครั้งเพื่อขอเลื่อนพิธีออกไปก่อน
ซึ่งทางฝ่ายคู่กรณี ได้ยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยน ขอให้ครอบครัวของฝ่ายคู่กรณี ที่มีทั้งสามี ลูกสาว 2 คน รวมถึงแฟนของลูกสาวคนโต ย้ายเข้าไปอาศัยรวมอยู่ในบ้านของตนด้วย ซึ่งตนก็ยินยอม แต่ปรากฏว่า ในช่วงที่ครอบครัวนี้มาอาศัยอยู่ที่บ้านไปวันๆ เขาก็ไม่ช่วยทำงานทำการอะไรเลย มีแต่จ้องจะล้างผลาญ และขอเงินใช้อยู่เรื่อยๆ ตนก็ทนไม่ไหวจริง เพราะนอกจากจะขอเงินตนใช้แล้ว ยังอยู่ถลุงค่าไฟต่อเดือนกว่า 3 พันบาทด้วย มันจ่ายไม่ไหวจริงๆ จึงตัดสินใจเชิญให้ครอบครัวนี้ย้ายกลับไปอยู่บ้านของเขา
หลังจากนั้น ก็เกิดมีเรื่องกระทบกระทั่ง พูดจาถากถางเชือดเฉือนกันเรื่อยมา แต่ที่ยอมรับไม่ได้และโกรธมากที่สุด ก็เพราะวันหนึ่ง ในขณะที่ตนพาลูกไปส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการไตวาย จู่ๆ หญิงคู่กรณีก็ได้โทรศัพท์เข้ามา ซึ่งตนก็บอกไปแล้วว่า กำลังยุ่งต้องพาลูกไปโรงพยาบาล แต่กลับถูกอีกฝ่ายพูดจาปากคอเราะร้ายมาด่าแช่งลูกว่า “ไอ้เด็กจังไรแบบนี้ ปล่อยให้มันตายไปเถอะ” จึงทำให้รู้สึกโกรธสะสมเรื่อยมา
จนกระทั่ง ถึงวันเกิดเหตุ ที่ตนเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวของเขา ซึ่งก็พยายามจะขอเจรจาในการขอเด็กแรกเกิดมาเลี้ยงที่บ้าน เนื่องจากรู้สึกเป็นห่วงเรื่องที่อยู่อาศัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขอเจรจาอะไร และจ้องแต่ขู่จะเอาเรื่องครอบครัวตนฝ่ายเดียว เลยกลายเป็นชนวนเหตุทำให้ต้องมีการไปดักเจอก่อนที่จะมีเหตุการณ์ทะเลาวิวาทกันเกิดขึ้น เพราะถูกอีกฝ่ายผลักอกก่อน แต่ก็ยอมรับโดยดีว่า รู้สึกผิดที่ไปมีเรื่องภายในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เมื่อถามถึงน้องชาย น.ส.พัชรี กล่าวยอมรับว่า นอกชายได้เดินทางออกจากบ้านไปหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน แต่ก่อนไปก็ได้มีการมาพูดบ่นกับครอบครัวว่ารู้สึกกังวลหากถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาพรากผู้เยาว์ ส่วนในวันพรุ่งนี้ ตนก็จะเดินทางไปพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายต่อไป.