ตาก - ทหารชายแดน ฉก.ราชมนู กองกำลังนเรศวรแจงยิบ..ปมสื่อออนไลน์เครือข่าย NGOs เมียนมายัดข้อหาเอี่ยวหนุ่มพม่าสวมเสื้อ ชรบ.เดินออกจาก “คอกช้างเผือก” พื้นที่พิพาท 70 ไร่ที่โดนน้ำเมยตัดขาดมาอยู่ติดแผ่นดินไทยแต่ชักธงเมียนมา แล้วดับปริศนา ยันโดน BGF ที่คุมพื้นที่เค้นสอบ-ทำร้าย
วันนี้ (15 พ.ย.) ฉก.ราชมนู กองกำลังนเรศวรได้ชี้แจงกรณี Fortify Rights สื่อออนไลน์เครือข่าย NGOs พม่าที่แฝงตัวในพื้นที่ชายแดนไทย นำเสนอข่าวอ้าง..การเสียชีวิตของนายอ่องโกโก ราษฎรชาวเมียนมา มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 เวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย.ร.431 ฉก.ราชมนู จัดกำลังพลทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจบริเวณ "คอกช้างเผือก" ช่องทางพื้นที่พิพาท 70 ไร่ (ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศเมียนมา ที่ถูกน้ำเมยตัดขาดมาเชื่อมต่อกับแผ่นดินไทย เนื่องจากเกิดอุทกภัยเมื่อเดือน ก.ค. 37 ปัจจุบันมีราษฎรเมียนมา เข้าอาศัยอยู่ โดยมีกองกำลังติดอาวุธของเมียนมาคือ กกล. BGF กองพันที่ 1022 กำลังพล 15 นาย วางกำลังควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าว)
ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ตรวจพบ นายอ่องโกโก ซึ่งสวมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เดินออกจากพื้นที่พิพาท 70 ไร่ ข้ามมายังฝั่งไทย จึงได้เรียกนายอ่องโกโก มาทำการสอบถามว่า..เดินทางมาจากฝั่งเมียนมาตามช่องทางนี้ได้อย่างไรและเหตุใดจึงสวมเสื้อกั๊ก ชรบ.ของประเทศไทยและขอตรวจบัตรเอกสารบริเวณป้อมยามพร้อมกับโทรศัพท์ประสานผู้ใหญ่บ้านแม่ตาว หมู่ 1 เพื่อมายืนยันตัวบุคคลว่าเป็น ชรบ.ของหมู่บ้านจริงหรือไม่
และเมื่อ ชรบ.หมู่บ้านแม่ตาวมาถึงได้ตรวจสอบแล้วพบว่า นายอ่องโกโก เคยช่วยงานของ ชรบ.หมู่ 1 บ.แม่ตาว แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็น ชรบ.แล้วและเจ้าตัวได้กลับไปทำงานในฝั่ง สมม. ทาง ชรบ.หมู่บ้านจึงได้ยึดเครื่องแบบชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) คืน และได้ให้นายอ่องโกโกเดินทางกลับข้ามไปยังพื้นที่ตัดขาด 70 ไร่
จากการตรวจสอบข้อมูลด้านการข่าวพบว่า เมื่อนายอ่องโกโกข้ามกลับเข้าไปยังพื้นที่พิพาท 70 ไร่แล้ว ได้ถูกกองกำลังติดอาวุธ กลุ่ม BGF ควบคุมตัวซักถาม-ทำร้าย จนเสียชีวิตและได้นำร่างของนายอ่องโกโกมาทิ้งไว้บริเวณเส้นเขตแดน เนื่องจากสงสัยว่านายอ่องโกโกเป็นคนแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยในการจับกุมการลักลอบการโจรกรรมรถข้ามแดน และจับกุมคนลักลอบเข้าเมือง
ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. วันเดียวกัน ชุดลาดตระเวนได้ตรวจพบร่างของนายอ่องโกโกบริเวณริมเส้นเขตแดนในสภาพร่างกายถูกทำร้าย จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด เข้ามาดำเนินการชันสูตรพลิกศพ และผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งให้ญาติของผู้เสียชีวิต (ทำงานในฝั่งไทย) ได้รับทราบ โดยญาติไม่ได้ติดใจหรือสงสัยในการเสียชีวิตดังกล่าว
กระทั่งวันที่ 14 ม.ค. 67 ขณะที่กำลังจะมีการฌาปนกิจศพนายอ่องโกโก ได้มีบุคคลอ้างตัวเป็น NGO เข้ามาแจ้งให้ระงับการฌาปนกิจศพ และได้พาญาติไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อขอผลการชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอดได้ทำการสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าว โดยในขั้นต้น สภ.แม่สอดตั้งข้อกล่าวหา นายศิรชัช (บุคคลไม่มีสัญชาติไทย) ในข้อหามีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย โดยมีพยานเป็นชาวเมียนมาจำนวน 2 คน
ฉก.ราชมนูยืนยันว่า ในห้วงการสืบสวน สอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด หน่วยได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดำเนินการตามกฎหมาย และได้นำเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติงานในวันดังกล่าวไปให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน และได้ให้ พยานทั้งสองคนดูตัวแต่พยานทั้งสองก็ไม่ได้ชี้ตัวแต่อย่างใด
ขณะที่ผลการสอบสวนของ จนท.ตร.สภ.แม่สอดไม่มีพยาน และหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ทหารไทยมีส่วนร่วมในการทำร้ายร่างกายนายอ่องโกโกจนเสียชีวิตดังกล่าว ต่อมาศาลจังหวัดแม่สอดได้ตัดสินเมื่อ 27 ก.ย. 67 ลงโทษนายศิรชัช จำคุกเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน